"อาหารเป็นพิษ" ท้องเสียแบบไหนที่ควรพบแพทย์?
เข้าสู่ฤดูฝนเป็นช่วงแห่งการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ที่มักจะมาพร้อมหน้าฝน และโรคที่คนส่วนใหญ่แทบทุกวัยจะเป็นการมากที่สุดในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร จำพวก “โรคอาหารเป็นพิษ”
โรคนี้จะมีอาการอย่างไรบ้าง และอาการแบบไหนที่เป็นสัญญาณอันตราย ที่เตือนว่าควรรีบไปพบแพทย์ มาดูไปพร้อมกันเลย
ภาวะอาหารเป็นพิษ ท้องเสียแบบไหนที่ควรพบแพทย์?
เข้าสู่ฤดูฝนเป็นช่วงแห่งการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ที่มักจะมาพร้อมหน้าฝน และโรคที่คนส่วนใหญ่แทบทุกวัยจะเป็นการมากที่สุดในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร จำพวก “โรคอาหารเป็นพิษ”
จะมีอาการอย่างไรบ้าง และอาการแบบไหนที่เป็นสัญญาณอันตราย ที่เตือนว่าควรรีบไปพบแพทย์ มาดูไปพร้อมกันเลย
-1.jpg)
อาหารเป็นพิษคืออะไร?
อาหารเป็นพิษ (food poisoning) เป็นภาวะที่เกิดจากรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน มีอาการปวดท้องและท้องเสียถ่ายเหลวตามมา
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อโรคจำพวก S.aureus หรือ B. cereus หรือ C. perfringens ที่มีการปนเปื้อนในอาหาร อาทิเช่น ข้าวผัด ขนมจีน อาหารกระป๋อง เป็นต้น โดยเชื้อโรคเหล่านี้จะมีการผลิตสารพิษ (enterotoxin) ที่ทนต่อความร้อนได้ดี
เมื่อผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มี enterotoxin เข้าไปก็จะเกิดอาการของอาหารเป็นพิษตามมา
-1.jpg)
เมื่อเรารับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษดังกล่าว ก็จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน สารพิษหลายชนิดทนต่อความร้อน ถึงแม้จะปรุงอาหารให้สุกแล้ว สารพิษก็ยังคงอยู่และก่อให้เกิดโรคได้
-1.jpg)
โดยระยะฟักตัวขึ้นกับชนิดของเชื้อโรค บางชนิดมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางชนิด 8-16 ชั่วโมง จนถึง 8-48 ชั่วโมง
อาหารเป็นพิษสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยทั่วไปอาหารเป็นพิษเป็นภาวะไม่รุนแรงและสามารถหายได้เอง แต่หากเกิดอาการรุนแรงก็อาจทำให้งเกิดการสูญเสียสารน้ำและเกลือแร่ได้
อ่านเพิ่มเติม: ไขข้อสงสัย ฝนตกทําให้เป็นหวัดจริงหรือไม่?
อาการของโรคอาหารเป็นพิษ
ผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษเจือปนในอาหารส่วนใหญ่จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนนำมาก่อนและเด่นกว่าอาการท้องเสีย อาการคลื่นไส้มีได้ทั้งรุนแรงไม่มากจนถึงรุนแรงมากจนไม่สามารถทานอาหารได้ ส่วนใหญ่มักมีอาการหลังรับประทานอาหารที่สงสัยประมาณ 2-16 ชั่วโมง
อ่านเพิ่มเติม: 5 เทคนิคดื่มน้ำอย่างไรให้น้ำหนักลด!
หลังจากนั้นก็จะมีอาการปวดท้อง มีอาการองเสียถ่ายเหลวเป็นน้ำตามมา โดยหากรับประทานอะไรเข้าไปในช่วงนี้ก็จะทำให้ถ่ายเหลวออกมาทั้งหมดเช่นกัน เนื่องจากลำไส้ติดเชื้อ นอกจากนี้ยังอาจพบผู้ที่รับประทานทานอาหารร่วมกับผู้ป่วยก็อาจจะมีอาการได้เช่นเดียวกันในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน
-1.jpg)
สาเหตุของอาการท้องเสียมาจากปัจจัยอะไรบ้าง?
- การติดเชื้อแบคทีเรียจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดตามสุขอนามัย หรืออาหารที่ไม่ปรุงสุก
- การติดเชื้อไวรัสและมีพยาธิในลำไส้
- การไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนทำการปรุงหรือรับประทานอาหาร
- การใช้ภาชนะที่มีเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อน
- ลำไส้มีการอักเสบ
ท้องเสียแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?
อาการท้องเสียเป็นการที่พบบ่อยได้ทั่วไป โดยปกติแล้วถ้าอาการไม่รุนแรงมากหรือแค่ท้องสียอย่างเดียวไม่มีอาการ้านแรงอย่างอื่นปนด้วย ก็มักจะหายได้เองภายใน 1-2 วัน
แต่ก็มีลักษณะอาการบางอย่างที่เป็นสัญญาณอันตราย เตือนภัยให้เราทราบว่า อาการท้องเสียของเราอาจไม่ธรรมดา ควรพบแพทย์ด่วน โดยจะมีอาการดังต่อไปนี้
1. ทานอาหารไม่ได้ ทานไม่ลง ทานแล้วอาเจียนออกมาตลอด
2. ทานยาลดอาการอาเจียน แล้วยังอาเจียนมาก หรืออาเจียนอย่างต่อเนื่อง (อาจจะต้องให้ยาลดอาการอาเจียนแบบฉีดที่โรงพยาบาล)
3. มีอาการขาดน้ำ จากการสูญเสียน้ำในร่างกายมากเกินไป ตาโหล ปัสสาวะสีเข้มมาก และมีปริมาณน้อย
-1.jpg)
4. อ่อนเพลียมาก ไม่มีแรงลุกขึ้นเดินไปไหน นอนซมตลอด
5. ถ่ายเหลวในปริมาณมาก หรือบ่อยมากเกินไป จนดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปจากร่างกายไม่ทัน (อาจจะต้องนอนให้น้ำเกลือ และอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่โรงพยาบาล)
6. อาเจียน ถ่ายเหลว และมีไข้สูงประกอบด้วย
อ่านเพิ่มเติม: 3 เหตุผลสำคัญ! ทำไมถึงควรทำประกันสุขภาพ?
ดังนั้น หากใครที่มีอาการดังกล่าว นานเกิน 3 วัน และมีไข้สูงมากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ร่างการอ่อนเพลียมีอาการขาดน้ำ ถ่ายมีเลือดปนร่วมกับอาการปวดท้องเกร็ง ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง
โดยแพทย์จะทำการตรวจเบื้องต้น เช่น ตรวจอุจจาระเพื่อหาเชื้อ, ตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุ, การส่องกล้องเพื่อตรวจลำไส้ใหญ่
-1.jpg)
รักษาอาการท้องเสียเบื้องต้นด้วยตนเอง
ปกติแล้วสำหรับใครที่มีอาการท้องเสีย จะสามารถหายได้เองและส่วนใหญ่จะมีอาการที่ไม่รุนแรง โดยพบว่าผู้ป่วยส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงขึ้นเสียชีวิตได้ แต่สำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสียสามารถดูแลตัวเองในเบื้องต้นได้ดังนี้
1. ดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) บ่อยๆ เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่
2. รับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด
3. งดอาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ของหมักดองต่างๆ
4. หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ เน้นการรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ถูกสุขลักษณะ
5. ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำก่อนรับประทานอาหาร
6. หากสงสัยว่ามีอาจติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
อ่านเพิ่มเติม: 5 วิธี เตรียมความพร้อม ดูแลสุขภาพช่วงหน้าฝน
หน้าฝนมักจะเกิดโรคระบาดและโรคติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย เพราะอากาศชื้นจะส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตได้เร็วขึ้น จึงต้องคอยดูแลอาหารการกิน ไม่ควรทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ควรเน้นทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ไม่ค้างคืน
เพราะถ้าหากเผลอรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนแหล่งเชื้อโรค นอกจากทำให้เกิดโรคท้องร่วง โรคท้องเสียแล้ว ยังส่งผลให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาด้วยดังนั้นการจะรับประทานอาหารแต่ละอย่างควรระมัดระวัง และหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
-1.jpg)
หมั่นหันมาดูและสุขภาพตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ ระมัดระวังเวลาจะรับประทานอาหารและที่สำคัญนอกจากดูแลสุขภาพตนเองสิ่งที่ไม่ควรละเลยก็คือการทำประกันสุขภาพ จะเป็นตัวช่วยที่ดี ที่จะคอยคุ้มครองยามเจ็บป่วยฉุกเฉินจากโรคต่างๆ
เลือกทำประกันสุขภาพตั้งแต่ตอนนี้เพราะคุณสามารถเลือกทำประกันก่อนป่วยได้ ถ้าอยากได้แผนประกันที่ชอความคุ้มครองที่ใช้ทักหา SMILE INSURE คลิกเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก
- โรงพยาบาลราชวิถี https://www.rajavithi.go.th/rj/?p=3728
- โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน https://www.tropmedhospital.com/knowledge/food_poisoning.html
- โรงพยาบาลศิครินทร์
- Sanook https://www.sanook.com/health/9337/
-24.jpg)

