5 เทคนิคดื่มน้ำอย่างไรให้น้ำหนักลด!

รู้หรือไม่ว่า “น้ำเปล่า” คือความอัศจรรย์ของเครื่องดื่ม เพราะนอกจากจะช่วยดับกระหายเวลาเสียเหงื่อแล้ว ยังช่วยให้น้ำหนักลดได้อีกด้วย

เวลาที่หลายคนอยากลดน้ำหนักให้ลงอย่างรวดเร็ว ก็มักจะนึกถึงยาลดน้ำหนัก หรือการอดอาหาร ที่ทำได้ง่าย และเห็นผลไว แต่อาจหลงลืมไปว่าวิธีเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป น้ำหนักจะกลับมาเท่าเดิม หรืออาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

 ในขณะที่ระบบอวัยวะภายในต่างๆ จะทำงานผิดปกติ เพราะสับสนกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

ดังนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบัน และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงแนะนำวิธีลดน้ำหนักที่ทำง่ายไม่ต่างกัน แต่ดีต่อสุขภาพ นั่นคือ การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ

หลักการลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำเปล่า  

ตามปกติแล้ว ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบมากถึง 70% แต่ระหว่างวันก็จะมีการขับน้ำออกไปทางเหงื่อ ปัสสาวะ อุจจาระ และการหายใจ รวมๆ แล้วมากกว่า 2 ลิตร ขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน
 
แต่ถ้ายิ่งทำกิจกรรมหนัก เช่น ออกกำลังกาย ทำงานกลางแจ้ง เป็นต้น ก็จะยิ่งมีการขับน้ำมากขึ้น เพราะอุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้น
 

แต่เมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น และน้ำถูกขับออกไป ไขมันที่กักเก็บไว้ตามอวัยวะต่างๆ จะไม่ได้ถูกนำมาเผาผลาญผ่านกระบวนเมทาบอลิซึม เพราะมีน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุตั้งต้นของออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ (เมทาบอลิซึมมีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญ)

ดังนั้นการดื่มน้ำเข้าไปจึงเป็นการช่วยปรับอุณหภูมิให้ลดลง ชดเชยน้ำที่สูญเสียไป และกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญพลังงานทำงานได้ดีขึ้น

5 เทคนิคดื่มน้ำลดน้ำหนักให้ได้ผล

แน่นอนว่าการดื่มน้ำเปล่าเพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล คงไม่สามารถทำแบบไร้กฎเกณฑ์ได้ ถ้าต้องการให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ควรปฏิบัติตามเทคนิคจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้

1. ดื่มน้ำประมาณ 2 – 3 ลิตรต่อวัน เพื่อชดเชยน้ำให้เท่ากับที่ร่างกายขับออกไป หรืออาจคำนวณปริมาณน้ำด้วยสูตร [น้ำหนัก x 2.2 x 30/2] /1000 = ปริมาณน้ำ (ลิตร)

2. ดื่มน้ำทีละน้อยๆ ไม่ดื่ม 2 – 3 ลิตรในครั้งเดียว และไม่ควรดื่มเร็วเกินไป เพราะจะทำให้แร่ธาตุในร่างกายเกิดเสียสมดุล ส่งผลต่อระบบเผาผลาญ หรือถึงขั้นอ่อนเพลีย และหมดสติจากภาวะน้ำเป็นพิษได้

3. จัดตารางดื่มน้ำต่อวันให้เหมาะสม 

• ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังตื่นนอน ในเวลา 06.00-07.00 น. เพื่อช่วยลดภาวะขาดน้ำจากการนอนหลับ และกระตุ้นการขับถ่าย
• ดื่มน้ำ 1 แก้ว ช่วงเช้า ในเวลา 08.00-09.00 น. โดยดื่มก่อนอาหารมื้อเช้า 15-20 นาที และหลังอาหารให้จิบน้ำเพียงครึ่งแก้ว
• ดื่มน้ำ 4 – 5 แก้ว ในช่วงเวลาระหว่างวัน เวลา 09.00-17.00 น. เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ และช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
• ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว ช่วงเย็นและก่อนนอน เวลา 18.00-22.00 น. โดยแบ่งเป็นก่อนมื้ออาหารเย็น 15 – 20 นาที หลังอาหารเย็น และดื่มช่วงก่อนนอน เพื่อชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้ และป้องกันร่างกายขาดน้ำขณะนอนหลับ
  
  

4. ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำที่อุณหภูมิห้อง เพราะใกล้เคียงกับอุณหภูมิในร่างกาย เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว ร่างกายจะไม่ต้องทำงานหนักเพื่อปรับอุณหภูมิน้ำให้เท่าร่างกาย

5. ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น ลดหรืองดน้ำหวาน ชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำเปล่า มีส่วนผสมของน้ำตาล อาจทำให้ได้รับสารอาหารมาเกินความจำเป็น

ทําคลิปคั่น

ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วนลงพุง รวมถึงคาเฟอีน ที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น รวมถึงควรปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น 

เพื่อทำให้ผลลัพธ์จากการดื่มน้ำเห็นชัดขึ้น อาทิ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อการลดน้ำหนักที่เห็นผล และมีความยั่งยืน ไม่เกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์ (Yo – Yo Effect)

ประโยชน์ของน้ำเปล่าที่มากกว่าดับกระหายและลดน้ำหนัก

นอกจากดับกระหายและลดน้ำหนักแล้ว การน้ำเปล่าเพียง 2 – 3 ลิตรต่อวัน ยังมีประโยชน์อีกมากมาย เช่น 

ช่วยให้สมองและระบบประสาท ทำงานได้ดียิ่งขึ้น เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบหลักของเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงระบบเหล่านั้น เมื่อดื่มน้ำเข้าไปเพียงพอ จะช่วยให้เลือดไม่หนืด และไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้อย่างราบรื่น

ช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกาย  และทุกระบบต้องใช้น้ำในกระบวนการทำงานทั้งสิ้น

เช่น ระบบทางเดินอาหาร ต้องใช้น้ำในเป็นสารหล่อลื่นในการนำอาหารลงสู่กระเพาะ ระบบกระดูกและไขข้อ ต้องใช้น้ำเป็นตัวช่วยลดการเสียดสี ไตต้องใช้น้ำในการเจือจางเกลือ และแร่ธาตุที่เป็นสาเหตุของการเกิดนิ่ว เป็นต้น

การดื่มนํ้าช่วยให้ผิวสวย  ไม่หย่อนคล้อย ผิวชุ่มชื้น  แลดูอ่อนเยาว์ เพราะน้ำจะพยุงเซลล์ผิวให้อยู่คงที่ และช่วยให้เอนไซม์ในการผลัดเซลล์ผิวทำงานได้เป็นปกติ

น้ำเปล่ามีประโยชน์มากกว่าที่คิด การดื่มน้ำเป็นประจำทุกวันในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยลดน้ำหนักลงได้ และทำให้คนเรามีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก 

ร่างกายสมส่วนและสุขภาพแข็งแรงด้วย 4 วิธีนี้

1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ในแต่ละมื้อในแต่ละมื้อที่ควรได้รับ ครบ 5 หมู่ ลดประเภทอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงหรือสำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นอยากดูแลสุขภาพหรือควบคุมน้ำหนักอาจลองเปลี่ยนเมนูมาทานคลีน

2. ดื่มน้ำเป็นประจำ 

ดื่มในปริมาณที่ที่ร่างกายต้องการต่อวัน คือปริมาณน้ำ 2 ลิตรเพื่อให้ร่างกายปรับตัว และการดื่มน้ำมีส่วนช่วยให้ล้างของเสียในลำไส้ได้ดี ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ผิวไม่แห้งกร้าน สุขภาพแข็งแรง

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ

ออกกำลังกายได้ง่ายๆ ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ฮูลาฮูป กระโดดเชือกคาร์ดิโอหรือโยคะ ช่วยเสริมสร้างร่างกายที่แข็งแรง และยังช่วยช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายความเครียด ทำให้หลับสบายยิ่งขึ้น

4. พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟู ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า ช่วยให้ใบหน้าแลดูสดใส สุขภาพดี

การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสําคัญ เพราะร่างกายของเราไม่ว่าจะช่วงอายุเท่าไหร่ก็มีโอกาสเจ็บป่วยได้ตลอดเวลา นอกจากดูแลสุขภาพและดื่มนํ้าให้เพียงพอต่อวัน 

เราแนะนําให้ทําประกันสุขภาพไว้ เพื่อเป็นตัวช่วยให้การคุ้มครองยามเจ็บป่วยและ Save ค่ารักษาพยาบาล มีประกันไว้ยังไงก็อุ่นใจกว่า สนใจทําประกันสุขภาพ คลิก  SMILE INSURE

ขอบคุณข้อมูลจาก :

•  มติชนออนไลน์
•  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 
• สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 
• สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
• โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
• VOGUE beauty