รู้ยัง? ประกันแบบไหนลดหย่อนภาษีคุ้มที่สุด!
เมื่อพูดถึงการลดหย่อนภาษี เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงนึกถึง “การทำประกัน” เพราะเป็นวิธีที่ช่วยเปลี่ยนเงินก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายทิ้งทุกปี ให้เป็นความคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินได้
แต่รู้ไหมว่า? ไม่ใช่ประกันทุกประเภทที่จะใช้ลดหย่อนภาษีได้ และมีประกันแค่ประเภทเดียวเท่านั้นที่ลดหย่อนภาษีได้คุ้มค่ามากที่สุด… อยากรู้ไหมว่าคือประกันแบบไหน? ถ้าอยากรู้ ก็ตามมาอ่านกันเลย!
ประกันแบบไหนที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้?
ทุกวันนี้ ประกันภัยมีให้เราเลือกซื้อได้หลายประเภท ทั้งประกันบ้าน ประกันรถ ประกันอัคคีภัยเพื่อธุรกิจ ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ฯลฯ แต่มีแค่ 3 ประเภทเท่านั้น ที่ภาครัฐระบุว่าสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ คือ
ประกันสุขภาพ
ประกันชีวิตแบบทั่วไป
ประกันชีวิตแบบบำนาญ
เพราะภาครัฐมองว่าประกันเหล่านี้ มีความจำเป็นกับการใช้ชีวิตของประชาชน และจะช่วยลดภาระค่าใช้ในด้านต่างๆ ของประเทศได้ เช่น การรักษาพยาบาล ที่ส่งผลโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจ และสาธารณสุข เป็นต้น เลยใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีมากระตุ้นให้คนทำประกันทั้ง 3 ประเภทนี้มากขึ้นนั่นเอง
ประกันแบบไหนลดหย่อนภาษีได้คุ้มที่สุด?
สำหรับประกันที่ลดหย่อนภาษีได้คุ้มที่สุด? SMILE INSURE แนะนำว่าต้องเป็น “ประกันสุขภาพ” เพราะเป็นประกันที่ไม่ผูกมัดระยะยาว และไม่มีข้อจำกัดทั้งในเรื่องระยะเวลาของกรมธรรม์ และอายุผู้ทำประกัน รวมถึงสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้กับทั้งของตนเอง พ่อแม่ และคู่สมรส ดังนี้
1. ประกันสุขภาพตนเอง
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้ตนเอง สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท/ปี แต่ถ้าทำประกันสุขภาพควบคู่กับประกันชีวิตที่มีกำหนดตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามมูลค่าของเบี้ยประกันที่จ่ายไปตามจริง
แต่เมื่อคิดมูลค่ารวมแล้วจะต้องไม่เกิน 100,000 บาท
2. ประกันสุขภาพพ่อแม่
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้พ่อแม่ นำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดถึง 15,000 บาท/คน/ปี คือ ใช้สิทธิ์ลดหย่อนส่วนของพ่อได้ไม่เกิน 15,000 บาท และส่วนของแม่อีกไม่เกิน 15,000 บาท
อ่านเพิ่มเติม: มีสวัสดิการแล้ว ต้องทำประกันสุขภาพอีกไหม?
ส่วนกรณีที่พ่อแม่มีลูกหลายคน ลูกทุกคนก็สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ แต่ต้องคำนวณแบบหารเฉลี่ย เช่น เบี้ยประกันสุขภาพของพ่อ 15,000 บาท และในครอบครัวมีลูก 3 คน เท่ากับพี่น้องแต่ละคนจะใช้สิทธิลดหย่อนได้แค่คนละ 5,000 บาทเท่านั้น ไม่ใช่คนละ 15,000 บาท เป็นต้น
หมายเหตุ: ผู้ที่จะใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีของพ่อแม่ได้ จะต้องเป็นลูกทางสายเลือดเท่านั้น ไม่ใช่ลูกบุญธรรม
3. ประกันสุขภาพคู่สมรส
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้คู่สมรส นำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง ไม่เกิน 15,000 บาท/ปี แต่คู่สมรสจะต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้ในปีภาษีนั้นๆ เท่านั้น ถึงจะใช้สิทธิ์ได้
หมายเหตุ: คู่สมรสในที่นี้ หมายถึง คู่รักที่ได้จดทะเบียนสมรมตามกฎหมายแล้วเท่านั้น
อ่านเพิ่มเติม: ต้องรู้! ประกันสุขภาพไม่จ่ายกรณีไหนบ้าง?
อย่างไรก็ตาม ประกันสุขภาพที่จะนำมาลดหย่อนภาษีได้ ต้องเป็นประกันในลักษณะต่อไปนี้
ประกันที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การชดเชยทุพพลภาพ และการสูญเสียอวัยวะ เนื่องจากการเจ็บป่วยและบาดเจ็บ
ประกันอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก
ประกันภัยโรคที่ร้ายแรง (Critical Illnesses)
ประกันภัยการดูแลระยะยาว (Long Term Care)
ถ้าจะใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากประกันสุขภาพต้องทำอย่างไร?
สำหรับใครที่ทำประกันสุขภาพแล้ว และต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี จะต้องแจ้งกับบริษัทประกันก่อนทุกครั้งว่า ประสงค์ใช้สิทธิ์ยกเว้นภาษีเงินได้ เพื่อให้บริษัทประกันส่งข้อมูลของคุณไปยังกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร
อ่านเพิ่มเติม: 3 เหตุผลสำคัญ! ทำไมถึงควรทำประกันสุขภาพ?
หลังจากนั้น ให้ผู้ต้องการใช้สิทธิ์ฯ เก็บหลักฐานใบเสร็จรับเงิน หรือหนังสือรับรองจากบริษัทประกันเอาไว้ให้ดี จนกว่าจะพ้นปีภาษีนั้นๆ เพื่อใช้ยื่นเรื่องหักลดหย่อนภาษีประจำปี และเผื่อใช้เป็นหลักฐานเมื่อกรมสรรพากรเรียกตรวจสอบย้อนหลัง
เทคนิคทำประกันสุขภาพให้ดีและคุ้มที่สุด
ถ้าใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกอยากทำประกันสุขภาพขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าควรทำตอนไหน ทำอย่างไร ถึงจะดีและคุ้มที่สุด SMILE INSURE ก็มีคำแนะนำในเรื่องนี้มาฝากกันด้วย
อ่านเพิ่มเติม: ประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่?
1. ควรทำประกันสุขภาพตั้งแต่อายุยังน้อย และยังสุขภาพดีอยู่ เพราะสุขภาพและอายุของผู้ทำประกัน มีผลต่อการอนุมัติกรมธรรม์
2. ทำประกันสุขภาพไม่เกินเดือนธันวาคมของทุกปี เพื่อให้บริษัทประกันส่งข้อมูลการขอลดหย่อนภาษีของคุณได้ทันเวลา เพราะปกติแล้ว บริษัทประกันจะส่งข้อมูลในปีนั้นๆ ให้สรรพากรภายในวันที่ 7 มกราคมของปีถัดไป
3. ถ้ายังไม่รู้ว่าจะทำประกันสุขภาพด้วยงบประมาณเท่าไหร่ดี นอกจากจะพิจารณาจากความคุ้มครองแล้ว อาจใช้วิธีคำนวณรายรับ และรายจ่ายต่อปีของตัวเองดูคร่าวๆ ว่าจะต้องเสียภาษีเท่าไหร่
แล้วนำจำนวนเงินที่คำนวณได้นั้น ไปตั้งเป็นงบประมาณในการเลือกประกันสุขภาพที่สนใจ เพื่อให้ค่าเบี้ยครอบคลุมค่าภาษีได้ทั้งหมด และไม่ต้องจ่ายภาษีใดๆ เพิ่มเติมอีก
เมื่อรู้แล้วว่า “ประกันสุขภาพ” คือ ประกันที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้แบบคุ้มค่าที่สุด และต้องทำประกันอย่างไรให้ดีที่สุด ก็อย่าลืมวางแผนทำประกันที่ใช่ตั้งแต่วันนี้ เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีถัดไปกันเถอะ