รู้ทันโรคฝีดาษลิง ภัยร้ายใกล้ตัวที่ต้องระวัง!
ในช่วงเวลานี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก โรคฝีดาษลิง เพราะนับตั้งแต่เจอผู้ติดเชื้อคนแรกในไทยเมื่อกลางปี ‘65 จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 66
ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยสะสมไปแล้วถึง 316 คน และเสียชีวิตแล้ว 1 คน จึงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่กำลังแพร่กระจายในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามีหลายคนอาจจะยังไม่รู้จักโรคนี้มากนัก วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับฝีดาษลิง เพื่อให้รู้ทันโรคร้ายที่อาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด และสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม
-2.jpg)
รู้จักฝีดาษลิง
คนส่วนใหญ่อาจมีความเข้าใจว่า “โรคฝีดาษ” เป็นโรคโบราณที่หายจากโลกนี้ไปนานแล้ว ตามประกาศขององค์กรอนามัยโลกเมื่อ พ.ศ. 2523 ดังนั้น เมื่อมีการแพร่ระบาดของ “โรคฝีดาษลิง” ในประเทศไทย
-1.jpg)
หลายคนจึงเกิดความสับสนปนสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมโรคโบราณจึงกลับมาแพร่ระบาดได้อีก? หรือจริงๆ แล้ว โรคนี้ยังคงมีอยู่ ไม่เคยหายไป?
อ่านเพิ่มเติม: เลือกให้ถูก ซื้อประกันสุขภาพตอนไหน? คุ้มที่สุด!
ความจริงแล้ว โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) ที่กำลังระบาดอยู่ในตอนนี้ แม้จะเกิดจากไวรัสกลุ่มเดียวกัน แต่ถือว่าไม่ใช่โรคเดียวกันกับ โรคฝีดาษ (Smallpox) เพราะฝีดาษลิง ติดต่อจากลิงและสัตว์ฟันแทะมาสู่คน
แล้วจึงติดต่อจากคนสู่คนอีกทีหนึ่ง ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น ไอ จาม การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เป็นต้น ส่วนโรคฝีดาษนั้น ติดต่อจากคนสู่คนเท่านั้น

นอกจากนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฝีดาษลิง ยังคงมีการแพร่กระจายอยู่ตลอด เพราะเป็นโรคประจำถิ่นในทวีปแอฟริกา และมีถึง 2 สายพันธุ์ ได้แก่
สายพันธุ์ Congo Basin พบอัตราการเสียชีวิต 10%
สายพันธุ์ West African พบอัตราการเสียชีวิต 1%
ซึ่งการระบาดเคยสงบไปในช่วงปี 2546 แต่ก็กลับระบาดอีกครั้งในปี 2565 โดยเริ่มจากทวีปยุโรป และกระจายไปสู่หลายประเทศทั่วโลก โดยหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย
-1.jpg)
การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงในไทย
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงในบ้านเรา ถือว่ารวดเร็ว และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรคบอกไว้ว่า
เดือนพฤษภาคม 2566 พบผู้ป่วย 22 คน
เดือนมิถุนายน 2566 พบผู้ป่วย 48 คน หรือคิดเป็น 2.3 เท่าจากเดือนก่อนหน้า
เดือนกรกฎาคม 2566 พบผู้ป่วย 80 คน
เดือนสิงหาคม 2566 มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 145 คน และพบผู้เสียชีวิตรายแรกของประเทศไทยแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.ย. 66)
อ่านเพิ่มเติม: ตรวจสุขภาพประจําปี ต้องตรวจโรคอะไรบ้าง?
หากนับจำนวนผู้ป่วยตั้งแต่วันแรกที่พบการแพร่ระบาดเมื่อกลางปี 2565 จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2566 พบว่า มีผู้ป่วยสะสมมากถึง 316 คน และมีผู้เสียชีวิต 1 คน
-1.jpg)
อัตราการพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง
โดยผู้ป่วยที่พบ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 198 คน ชลบุรี 22 คน นนทบุรี 17 คน และสมุทรปราการ 12 คน โดยส่วนใหญ่มีอายุ 30-39 ปี (152 คน)
รองลงมาคือช่วงอายุ 20-29 ปี (85 คน) และเยาวชนอายุ15-24 ปี (28 คน) ส่วนผู้เสียชีวิต อายุ 34 ปี อาศัยอยู่ในจังหวัดชลบุรี พบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และซิฟิลิสร่วมด้วย
-4.jpg)
ใครเสี่ยงเป็นฝีดาษลิงได้มากที่สุด?
ทุกคนสามารถเป็นโรคฝีดาษลิงได้ ถ้าสัมผัสกับเชื้อไวรัสโดยตรง แต่สำหรับผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคได้ง่าย และหากเป็นโรคแล้ว จะเสี่ยงพบอาการแทรกซ้อนรุนแรง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ มีดังนี้
-3.jpg)
กลุ่มผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน เป็นต้น
ผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี
หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
.jpg)
อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าเป็นฝีดาษลิง?
อาการหลักๆ ที่พบได้ในคนเป็นฝีดาษลิง มีดังนี้
มีไข้ หนาวสั่น
ปวดศีรษะ
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
มีอาการบวมแดงบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ
มีผื่นหรือตุ่มขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก หรือตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ผื่นหรือตุ่มที่ขึ้นตามร่างกาย กลายเป็นตุ่มน้ำหรือตุ่มหนอง
หากพบอาการเหล่านี้ ให้รีบพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด
สาระน่ารู้: อาการป่วยจะพบได้หลังจากที่บุคคลนั้นมีการสัมผัสใกล้ชิด หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้สงสัยเป็นฝีดาษลิง ภายใน 21 วัน
วิธีป้องกันฝีดาษลิง
แม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว และมีอาการค่อนข้างรุนแรง แต่ทุกคนสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีง่ายๆ เหล่านี้
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่วย โดยเฉพาะสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคอย่างลิง และสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก เป็นต้น
หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และการสัมผัสบุคคลแปลกหน้า
ล้างมือบ่อยๆ ด้วย หรือแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 70% ขึ้นไป โดยเฉพาะหลังสัมผัสตัวสัตว์ หรือสัมผัสกับสิ่งของสาธารณะ เช่น ราวบันไดเลื่อน ปุ่มกดลิฟต์ เป็นต้น
ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อต้องเดินทางไปยังสถานที่เสี่ยงมีการแพร่ระบาด
ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
ดูแลรักษาฝีดาษลิงให้ถูกวิธี
ส่วนใครที่ไม่สามารถป้องกันได้ทัน รู้ตัวอีกทีก็ไปสัมผัสกับคนที่เสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิงมาแล้ว ให้รีบพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัย และทำการรักษา
ซึ่งถ้าแพทย์ตรวจพบเชื้อไวรัสฝีดาษลิง จะให้ผู้ป่วยเข้าแอดมิท และแยกรักษาตัวในห้องผู้ป่วยติดเชื้อ และถ้าผู้ป่วยเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง จะมีการให้ยาต้านไวรัสด้วย หากรักษาไปได้สักระยะแล้วผู้ป่วยอาการดีขึ้น จะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้
อ่านเพิ่มเติม: 9 สัญญาณเตือน โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายหน้าฝน!
ทั้งนี้ หากกลับมาอยู่บ้านแล้ว ผู้ป่วยสามารถลดการแพร่ระบาดไปสู่ผู้อื่น และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการติดเชื้อเพิ่มเติมได้ด้วยเหล่านี้ จนกว่าจะหายดี
สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น
ไม่ใช้สิ่งของร่วมกันกับคนในครอบครัว
สวมเสื้อผ้ายาวปกปิดตุ่มตามร่างกาย ไม่ให้ตุ่มสัมผัสกับความสกปรกจากภายนอก และลดความเสี่ยงที่สารคัดหลั่งจากตุ่ม แพร่กระจายสู่ผู้อื่น
ประกันสุขภาพคุ้มครองฝีดาษลิง
สุดท้ายนี้ สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ หากใครเป็นโรคฝีดาษลิง จำเป็นต้องรักษาตัวนานถึง 2-4 สัปดาห์ กว่าเชื้อไวรัสจะหายไป และร่างกายจะกลับมาแข็งแรงดีอีกครั้ง ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายคน
โดยเฉพาะคนวัยทำงาน เพราะต้องเสียทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต เวลา และค่าใช้จ่ายอีกมากมาย
เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ทำการรักษา ผู้ป่วยจะไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวัน หรือออกไปทำงานตามปกติได้ ซึ่งนั่นอาจทำให้สภาพคล่องทางการเงินเกิดปัญหา ต้องใช้เงินเก็บจนหมด หรืออาจเกิดการกู้หนี้ยืมสินตามมาได้
อ่านเพิ่มเติม: "อาหารเป็นพิษ" ท้องเสียแบบไหนที่ควรพบแพทย์?
ดังนั้น นอกจากจะป้องกันตัวตามคำแนะนำที่เรานำมาฝากแล้ว อย่าลืมทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมโรคฝีดาษลิงไว้ด้วย เพื่อเป็นตัวช่วยดีๆ ในการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ให้คุณได้รับการบริการที่ดีที่สุด ในราคาที่คุ้มค่า
-1.jpg)
ตลอดจนช่วยจ่ายค่าชดเชยในวันที่ต้องหยุดงาน การบรรเทาความทุกข์ให้ครอบครัว ในกรณีที่เกิดการเสียชีวิตจากโรคฝีดาษลิง* รวมถึงใช้เป็นตัวช่วยในการลดหย่อนภาษีประจำปี ได้อีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม: ซื้อประกันประเภทไหน? ลดหย่อนภาษีได้คุ้มค่าที่สุด!
โดยถ้ายิ่งทำประกันสุขภาพเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งคุ้มครองสุขภาพได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 30-39 ปี รองลงมาคือช่วงอายุต่ำกว่า 30 ปี
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทประกันกำหนด ผู้ต้องการทำประกันสุขภาพควรสอบถามข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจทำประกัน
“โรคฝีดาษลิง” จะไม่ใช่ภัยร้ายที่น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าทุกคนเข้าใจ และสามารถรับมือได้อย่างถูกวิธี รวมทั้งทำประกันสุขภาพเพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้ตัวเอง และคนใกล้ชิด
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
-16.jpg)

