“ประกันสุขภาพ” คือตัวช่วยดีๆ ที่ช่วยคุ้มครองสุขภาพ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้คนเรา ในยามที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ได้เป็นอย่างดี

ซึ่งปกติประกันสุขภาพก็มักจะมีความคุ้มค่ามากอยู่แล้ว เพราะให้วงเงินคุ้มครองมากกว่าค่าเบี้ยที่จ่ายไปหลายเท่าตัว แต่รู้หรือไม่ว่า? ประกันประเภทนี้ยังสามารถมอบความคุ้มค่ามากขึ้นกว่าเดิมได้อีก ถ้าคุณรู้จักซื้ออย่างถูกวิธี

อ่านเพิ่มเติม: ตรวจสุขภาพประจําปี ต้องตรวจโรคอะไรบ้าง?

วิธีที่ถูกนั้นจะเป็นอย่างไร? ต้องซื้อประกันแบบไหนถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด? มาหาคำตอบไปพร้อมกันกับบทความนี้ได้เลย

ประกันสุขภาพกับประโยชน์ที่มากกว่าเรื่องสุขภาพ

การมีกรมธรรม์ประกันสุขภาพคู่ใจสักเล่ม จะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองเรื่องสุขภาพแบบรอบด้าน ทั้งการรักษาที่ตรงจุด คุณภาพของสถานพยาบาลคุณภาพ ค่าใช้จ่าย 

ตลอดจนถึงเงินชดเชยรายได้จากการหยุดงานเพื่อพักฟื้น อีกทั้งยังให้ประโยชน์ที่มากกว่าเรื่องสุขภาพด้วย 

1. คุ้มครองตั้งแต่ปัญหาสุขภาพ ไปจนถึงการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

เมื่อพูดถึงประกันสุขภาพ บางคนอาจเข้าใจว่ามันจะให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายต่างๆ แค่ในเวลาที่ผู้ซื้อประกันเกิดปัญหาด้านสุขภาพเท่านั้น 

แต่จริงๆ แล้ว ประกันประเภทนี้ยังครอบคลุมไปถึงการได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุด้วย ดังนี้

• การรักษาตัวในโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) ให้ความคุ้มครองเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน ครอบคลุมค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาล ค่าบริการทั่วไป และค่าใช้จ่ายในกรณีที่มีการรักษาพยาบาลหรือผ่าตัดฉุกเฉินภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากเกิดอุบัติเหตุ

• การรักษาพยาบาลโดยการผ่าตัด ให้ความคุ้มครองสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดโดยแพทย์หรือศัลยแพทย์ และการปรึกษาแพทย์ในกรณีมีการผ่าตัด 

• การดูแลโดยแพทย์ ให้ความคุ้มครองสำหรับค่าใช้จ่ายในการดูแลโดยแพทย์ของโรงพยาบาลแต่ละวัน หรือค่าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค

อ่านเพิ่มเติม: ไอตอนกลางคืนบ่อยๆ อย่าชะล่าใจ อาจอันตรายกว่าที่คิด!

• การรักษาพยาบาลที่ไม่ได้อยู่รักษาตัวในโรงพยาบาล (ผู้ป่วยนอก) ให้ความคุ้มครองสำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่คลินิกหรือแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล

• การคลอดบุตร ให้ความคุ้มครองสำหรับค่าใช้จ่ายในการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

• การรักษาฟัน

• การดูแลโดยพยาบาลพิเศษ ที่มีความจำเป็นตามคำสั่งของแพทย์

• การรักษาการบาดเจ็บ หรือการเจ็บป่วยที่ประเมินแล้วว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูง

ผู้ซื้อประกันจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับประสบการณ์การรักษาที่ตรงจุดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และได้รับการบริการระดับพรีเมียมจากบุคลากรในโรงพยาบาลเอชนชั้นนำ  

2. ช่วยให้วางแผนการดูแลสุขภาพได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น

ประกันสุขภาพเป็นประกันระยะสั้นที่คุ้มครองแบบปีต่อปี ไม่ได้ผูกมัดในระยะยาว จึงช่วยให้ผู้ซื้อประกันมีสภาพคล่องทางการเงิน และสามารถปรับเปลี่ยนแผนประกันให้สอดคล้องกับรายได้ได้ดีมากยิ่งขึ้น

3. ใช้ประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีได้

ใครที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีแล้ว และไม่อยากจ่ายเงินค่าภาษีทิ้งไปเฉยๆ คุณสามารถนำจำนวนเงินที่ซื้อประกันสุขภาพ มาใช้ลดหย่อนภาษีได้

ประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่?

ประกันสุขภาพนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท โดยแบ่งได้ตามลักษณะของประกัน ดังนี้ 

1. ประกันสุขภาพของตนเอง

ผู้ซื้อประกันสามารถนำมูลค่าเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท/ปี แต่ถ้าซื้อประกันสุขภาพควบคู่กับประกันชีวิตที่มีกำหนดตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป เมื่อคิดมูลค่ารวมแล้ว จะต้องไม่เกิน 100,000 บาท 

2. ประกันสุขภาพของพ่อแม่ 

จำนวนเงินที่จ่ายให้กับประกันสุขภาพของพ่อแม่แท้ๆ ก็นำค่าใช้จ่ายนั้นมาลดหย่อนภาษีได้ แต่พ่อแม่จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี เท่านั้น โดยสามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกินคนละ 15,000 บาท 

คือ ใช้สิทธิ์ลดหย่อนจากประกันของพ่อได้ไม่เกิน 15,000 บาท และใช้สิทธิ์ลดหย่อนจากประกันของแม่ได้ไม่เกิน 15,000 บาท 

นอกจากนี้ ถ้าหากในครอบครัวมีลูกหลายคน และแต่ละคนต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเช่นเดียวกัน สามารถทำได้ด้วยการหารเฉลี่ย เช่น เบี้ยประกันสุขภาพของแม่ 10,000 บาท 

และในครอบครัวมีลูก 5 คน นั่นหมายความว่า พี่น้องแต่ละคนจะลดหย่อนภาษีได้คนละ 2,000 บาท เป็นต้น

3. ประกันสุขภาพของคู่สมรส

ผู้ซื้อประกันจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของคู่สมรสได้ก็ต่อเมื่อ เป็นคู่สมรสตามกฎหมายที่จดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้อง และคู่สมรสไม่มีรายได้ โดยสามารถลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท/ปี 

ทั้งนี้ กรณีจดทะเบียนสมรสระหว่างปีภาษี คู่สมรสตายระหว่างปี หรือคู่สมรสหย่าระหว่างปี จะยังคงหักลดหย่อนได้ตามปกติ

อ่านเพิ่มเติม: ตรวจสุขภาพประจําปี ต้องตรวจโรคอะไรบ้าง?

ทั้งนี้ ประกันสุขภาพที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ จะต้องเป็นประกันเฉพาะบุคคลเดียว ไม่ใช่ประกันกลุ่ม และมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 

1. ประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การชดเชยทุพพลภาพ และการสูญเสียอวัยวะ เนื่องจากการเจ็บป่วยและบาดเจ็บ

2. ประกันอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก

3. ประกันภัยโรคที่ร้ายแรง (Critical Illnesses)

4. ประกันภัยการดูแลระยะยาว (Long Term Care)
   
   

ซื้อประกันสุขภาพตอนไหน? คุ้มที่สุด!

คำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ควรซื้อประกันสุขภาพให้ได้รับความคุ้มค่ามากที่สุด SMILE INSURE ขอแนะนำดังนี้

• ควรรีบซื้อประกันสุขภาพตั้งแต่ช่วงที่อายุยังน้อย เพราะจะได้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตั้งแต่ปีแรกๆ ที่ทำงาน และได้รับประโยชน์ในการต่ออายุประกันด้วย โดยข้อมูลที่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้คือ ผู้ที่ทำประกันสุขภาพก่อนอายุ 60 ปี จะสามารถต่ออายุประกันไปได้เรื่อยๆ จนถึง 80 ปีหรือมากกว่านั้น (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกัน) แต่ถ้าเริ่มทำประกันตอนอายุเกิน 60 ไปแล้ว จะสามารถต่ออายุได้ถึงแค่ 70 ปีเท่านั้น แถมยังต้องจ่ายค่าเบี้ยที่แพงกว่าเป็นเท่าตัว

อ่านเพิ่มเติม: ประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่?

• ควรรีบซื้อประกันสุขภาพตั้งแต่ช่วงที่ร่างกายยังแข็งแรง ไม่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง เพราะจะมีแผนประกันให้เลือกซื้อได้มากกว่า และซื้อได้ในราคาค่าเบี้ยที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกับผู้ที่เคยมีประวัติเจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัว 

• ควรรีบซื้อประกันสุขภาพ ก่อนกลางเดือนมีนาคมของทุกปี เพื่อให้กรมธรรม์อนุมัติทันช่วงเวลาที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และคุณสามารถนำมาใช้สิทธิ์ลดหย่อนในปีภาษีนั้นๆ ได้ทันที

• ควรรีบซื้อประกันสุขภาพในช่วงที่โบรกเกอร์มีโปรโมชั่นพิเศษ เพราะจะช่วยให้ผู้ซื้อประกันได้รับสิทธิ์ที่มากกว่าปกติ เช่น ส่วนลดพิเศษ โปรโมชั่นผ่อนบัตรเครดิต 0% รับของขวัญ Limited Edition เป็นต้น
  
  

ซื้อประกันออนไลน์เพื่อความสะดวกสบายที่มากกว่า

สำหรับผู้ที่สนใจทำประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครองสุขภาพ และใช้ประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี แต่ไม่มีเวลาติดต่อบริษัทประกันต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูล 

คุณสามารถแก้ปัญหาได้ง่ายๆ ด้วยการซื้อประกันออนไลน์ผ่านโบรกเกอร์มืออาชีพ 

ถ้าอยากมีประกันสุขภาพที่ถูกใจ และคุ้มค่ามากที่สุด คุณควรเริ่มมองหาประกันสุขภาพให้ตัวเองตั้งแต่วันนี้ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไป จนพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิต