8 เคล็ดลับดูแลรถ ให้มีอายุยืนยาว!
8 เคล็ดลับดูแลรถ ให้มีอายุยืนยาว!
รถยนต์สุดรัก ซื้อแล้วก็อยากใช้ไปนานๆ ไม่ว่าจะเป็นรถคันแรกหรือคันที่เท่าไหร่ เมื่อเราได้มาแล้วก็อยากดูแลรักษารถให้เสื่อมสภาพน้อยที่สุด วันนี้เราเลยหยิบยกเอาการดูแลรักษารถมาฝากผู้รักรถทุกท่านกันค่ะ
การดูแลรักษารถยนต์อาจไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป หากผู้เป็นเจ้าของให้ความใส่ใจ หมั่นตรวจเช็กสภาพรถ เพราะเมื่อหากเกินปัญหาจะได้แก้ไขได้ทันที
1. พยายามอย่าเติมลมให้แข็งหรืออ่อนจนเกินไป
การเติมลมยางที่สูงหรือต่ำเกินไปจะเป็นการเพิ่มให้รถใช้เชื้อเพลิงมากขึ้น ทำให้ส่งผลเสียต่อการขับรถ เช่น อาจทำให้รถเกิดการลื่นไถลหรือก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ยิ่งถ้าคุณเติมลมยากรถแข็งเกินไป อาจจะทำให้ระบบช่วงล่างทำงานหนักไปด้วย เพราะต้องรับแรงกระแทกที่มากขึ้น นำมาสู่ปัญหาในอนาคตได้
ที่สำคัญก็คือต้องเปลี่ยนยางตามกำหนดระยะ และเช็กลมให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ เพราะยางรถมีความสำคัญเหมือนเท้าที่พาเราไปตามที่ต่างๆ
2. ไม่เบรคกระทันหันและการเร่งความเร็วที่มากเกินไป
ขับมาในความเร็วสม่ำเสมอและเกิดการเบรคแบบกระทันหัน อาจทำให้เป็นอันตรายกับรถและบุคคลภายในรถด้วย ในกรณีนี้ถ้าทำบ่อยๆ ส่งผลต่อระบบช่วงล่างอย่างแน่นอน เนื่องจากกล่องเกียร์และเครื่องยนต์อาจได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
ดังนั้นคุณควรลดการใช้งานของเบรคให้น้อยลง ง่ายๆ ก็คือลดความเร็วให้อยู่ในช่วงความเร็วที่กฎหมายกำหนด เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุ
3. จอดรถให้ถูกต้อง
การจอดรถถือเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หัดขับรถใหม่ๆ เป็นอย่างมาก ยิ่งเป็นการถอยหลังเข้าซองเชื่อเลยว่าคนที่ขับรถใหม่ๆ ย่อมกลัวการจอดแบบนี้ ซึ่งการจอดรถก็ต้องมีการสลับเกียร์ไปมาตลอด ซึ่งการกลับเกียร์ที่ถูกต้องจะต้องหยุดรอให้รถหยุดสนิทก่อนแล้วค่อยทำการเปลี่ยนเกียร์
คนส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รอให้รถหยุดก่อนก็ทำการเปลี่ยนเกียร์เดินหน้าไปเป็นเกียร์ถอยหลังเลย วิธีอาจทำให้รถมีปัญหาและนำไปสู่การซ่อมแซมที่ราคาแสนแพงแน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่าเกี่ยวกับเกียร์ ปัญหาใหญ่แน่นอน
4. อย่าเพิกเฉยกับสัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดรถ
สัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดรถ ห้ามมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณความร้อนของเครื่องยนต์ หรือจะเป็นไฟเตือนต่างๆ ให้เพื่อนๆรีบหาสาเหตุของไฟให้เจอแล้วรีบแก้ปัญหาให้จบ เพระสัญญาณเตือนนี้สามารถบอกอะไรได้หลายๆอย่าง โดยเฉพาะหากเกิดบางสิ่งผิดพลาด เช่น อุณหภูมิของเครื่องยนต์ เบรค ระบบไฟฟ้า หรือแม้แต่น้ำมัน สัญญาณเหล่านี้จะทำให้คุณแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที
5. อย่าลืมตรวจสอบและซ่อมแซมรถ
ใช้รถมาเป็นปีๆ จะไม่เช็กหรือตรวจสภาพหน่อยหรอ? สาเหตุของการเกิดปัญหาของรถคือการที่ผู้ขับขี่ไม่สนใจเรื่องการบำรุงรักษา หลักๆ ที่ต้องหมั่นดุแลก็คือ
- น้ำมันเครื่อง และไส้กรองน้ำมันเครื่อง มีหน้าที่คอยช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ที่อยู่ภายในเครื่องยนต์ ซึ่งระยะเปลี่ยนถ่ายจะอยู่ที่ 5,000 – 10,000 กิโลเมตร (ระยะขึ้นอยู่กับประเภทน้ำมันที่ใช้)
- ไส้กรองอากาศ นำมาเป่าทำความสะอาดได้ทุกๆ 3,000 – 5,000 กิโลเมตร และควรเปลี่ยนใหม่เมื่อใช้ไปจนถึงระยะ 20,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้สิ่งสกปรกหลุดรอดเข้ามาจนทำให้เกิดการอุดตัน ทำให้กำลังเครื่องยนต์ลดลง การเผาไหม้ทำได้ไม่เต็มที่
- ผ้าเบรก ระยะที่ควรเปลี่ยนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 50,000 – 70,000 กิโลเมตร แต่ถ้าได้ยินเสียงดังขณะเหยียบ ต้องรีบเช็กแล้ว!
- น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์ ควรเปลี่ยนถ่ายเมื่อถึงระยะ 20,000 – 40,000 กิโลเมตร เพื่อยืดอายุการใช้งาน เพราะเกียร์มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา จึงทำให้มีการสึกหรอ และเสื่อมสภาพสูง
6. หลีกเลี่ยงการขนของที่มากเกินไป
การขนของที่มากเกินไปอาจก่อให้ทุกระบบของรถเกิดความเสียหาย และยังเป็นการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิง และส่งผลต่อการควบคุมรถบนถนนอีกด้วย ดังนั้น คุณควรขนของเฉพาะสิ่งจำเป็นจริงๆ เพื่อลดการเกิดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
7. อย่าใช้คลัชมากเกินไป
ปัญหาที่พบนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่ใช้รถแบบเกียร์ธรรมดา การเหยียบคลัชค้างไว้นานๆ เมื่อคุณหยุดที่สัญญาณไฟจราจรอาจทำให้เกิดปัญหากับรถได้ เข้าเกียร์ว่างพักคลัชบ้างก็ได้นะ
การดูแลรักษารถยนต์ สำหรับบางคนอาจดูเป็นเรื่องจุกจิก ยากลำบาก บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าต้องดุแลมากขนาดนี้ และบางครั้งอาจคิดไปเองว่า ขับมาได้ตั้งนาน ไม่ต้องดูแลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร จริงๆ แล้วรถยนตืก็เหมือนร่างกายคนนี้แหละใช้แล้วก็ต้องดูแลเหมือนกันเลย