6 วิธีประหยัดค่าเบี้ยประกันรถยนต์
ทุกวันนี้เราทำประกันภัยรถยนต์ไว้เพื่อให้อุ่นใจในทุกการขับขี่ เพราะถ้าหากไม่ซื้อไว้แล้วมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เราก็จะต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย ซึ่งก็จะเป็นจำนวนไม่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะคะ พอเรามีประกันรถยนต์แล้ว แน่นอนว่าเราก็จะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันเป็นประจำทุกปี
แต่จะดีกว่ามั้ย? ถ้าเรารู้วิธีลดค่าเบี้ยประกัน วันนี้พี่ SMILE INSURE มาพร้อมเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้คุณประหยัดเงินในส่วนนี้ได้มากขึ้น มาดูกันเลยค่ะ
1. ทำประกันตามภูมิภาค
การเลือกทำประกันตามภูมิภาคบอกเลยว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยประหยัดเงินค่าเบี้ยประกันรถยนต์เลยล่ะค่ะ เพราะถ้าคุณเปรียบเทียบก่อนซื้อ คุณก็จะได้รับประกันในราคาถูก เหมาะสมและตรงใจคุณที่สุด แถมยังได้ประหยัดเงินจากค่าส่วนต่างอีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม: ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง?
ยกตัวอย่างประกันที่มีค่าเบี้ยตามภูมิภาค ประกันภัย ‘Motor by Region’ จากกรุงเทพประกันภัย และ ‘ประกันภัย Easy Type 1’ จากเมืองไทยประกันภัย ประกันนี้ก็เป็นประกันรถยนต์ประเภท 1
ที่มีค่าเบี้ยไม่่เท่ากันค่ะ ค่าเบี้ยจะแบ่งตามภูมิภาคต่างๆ ประกันชั้นนี้คุ้มครองครอบคลุมทุกอุบัติเหตุ ทั้งรถชน รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม รวมถึงภัยก่อการร้าย ประกันประเภทนี้จะมีราคาเบี้ยที่ถูกกว่าประกันชั้น 1 ทั่วไป
2. ประกันแบบมี Deductible
ความเสียหายส่วนแรก ‘Deductible’ คือ ค่าเสียหายที่เราสมัครใจจ่ายเอง เมื่อเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้งและเราต้องเป็นฝ่ายผิดด้วย สิ่งนี้จะระบุอยู่ในกรมธรรม์ประกันรถของเราเลย
ยกตัวอย่าง ในกรณีที่เราโดนชนท้าย หรือโดนรถคนอื่นขับมาชนแล้วเกิดรอย แปลว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกก็ไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนไหนเลยค่ะ
อ่านเพิ่มเติม: รู้ก่อนซื้อ รถ Hybrid มีข้อดี-ข้อเสีย อะไรบ้าง?
ทีนี้มาถึงการลดเบี้ยประกันกันดีกว่า ในกรณีที่เราเลือกแผนประกันแบบมี Deductible การที่เราเลือกที่จะรับความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุแต่ละครั้งไว้เอง วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่จะทำให้คุณมีค่าประกันที่ถูกลง
อ่านเพิ่มเติม: รู้ก่อนตัดสินใจ ต่อประกันรถยนต์ที่ไหนดี?
ยกตัวอย่าง ถ้าเราจ่ายค่า Deductible เป็นจำนวนเงิน 1,000 บาท (เราสามารถเลือกจ่ายจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ตามใจชอบ) เราก็จะได้ลดค่าเบี้ยประกันรถตามจำนวนเงินที่เราจ่ายไป (ตามที่ระบุในกรมธรรม์)
แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุ รถของคุณมีความเสียหายแถมยังเป็นฝ่ายผิดอีก การเรียกเคลมในครั้งนั้นคุณจะต้องจ่ายเงิน 1,000 บาท ต่อเหตุการณ์หนึ่งครั้ง แต่วิธีนี้พี่ Smile แนะนำว่าเหมาะกับผู้ที่ขับขี่มั่นใจ มีประสบการณ์ และขับชำนาญนะคะ
3. ทำประกันกลุ่ม
การทำประกันรถยนต์แบบกลุ่ม วิธีนี้คุณจะได้รับส่วนลดก็ต่อเมื่อทำประกันพร้อมกันหลายคัน บริษัทประกันรถยนต์บางที่จะกำหนดไว้ว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของรถเกิน 3 คันขึ้นไป จะได้รับส่วนลดต่อคันมากถึง 10%
แต่ทั้งนี้ก็จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่ารถยนต์ทั้งหมดจะต้องมีชื่อ-นามสกุลเดียวกันเท่านั้น ดังนั้นก็ให้เราระบุชื่อตอนทำประกันภัย ค่าเบี้ยประกันรถของเราก็จะถูกกว่าการที่ไม่ระบุชื่อในกรมธรรม์
วิธีนี้ถ้าสมมติเรามีรถ 3 คัน รวมๆ แล้วเราจะได้รับส่วนลดสูงถึง 30% เลยนะคะ เป็นอีกวิธีที่ถือว่าค่อนข้างคุ้มค่ามากเลยค่ะ
4. รักษาประวัติดีมีส่วนลด
ในวิธีนี้ถ้าเราเป็นคนที่ขับอย่างระมัดระวัง มีวินัยในการขับขี่ไม่มีการเคลมตลอดปีที่ผ่านมา หรือเคลมแต่เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด เรื่องง่ายๆ ว่ามีประวัติดีมากตลอด เมื่อถึงเวลาที่ต้องต่อประกันรถในปีต่อไป
บริษัทประกันก็จะให้ส่วนลดค่าเบี้ยประกันกับเราค่ะ แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่คุณต่อประกันคุ้มครอง และขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท บางบริษัทก็ได้กำหนดส่วนลดไว้ว่า
- ขั้นที่ 1 ขับรถดีในปีแรก ได้รับส่วนลด 20%
- ขั้นที่ 2 ขับรถดีติดต่อกันในปีที่ 2 ได้รับส่วนลด 30%
- ขั้นที่ 3 ขับรถดีติดต่อกันในปีที่ 3 ได้รับส่วนลด 40%
- ขั้นที่ 4 ขับรถดีติดต่อกันตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป ได้รับส่วนลดสูงสุดที่ 50%
แต่ถ้าปีไหนเกิดอุบัติเหตุแล้วเราเป็นฝ่ายผิด ส่วนลดประวัติดีก็จะลดลงทีละขั้นนะคะ ยกตัวอย่าง ถ้ามีส่วนลดประวัติดี 40% แต่ปีนั้นเกิดอุบัติเหตุและเราเป็นฝ่ายผิด ส่วนลดประวัติดีจะลดเหลือ 30% เลยค่ะ
วิธีนี้ถือว่าทำให้ช่วยประหยัดค่าเบี้ยในปีต่อๆ ไปได้ดีเลย ฉะนั้นทุกคนต้องระมัดระวังการขับขี่นะคะ
5. ติดกล้องหน้ารถ
แค่เรามีกล้องติดรถยนต์ก็เป็นอีกวิธีที่จะลดค่าเบี้ยประกันได้สูงสุดถึง 10% เลยล่ะค่ะ ยกตัวอย่าง ถ้าคุณต้องจ่ายเบี้ยประกัน 5,000 บาท แต่พอมีกล้องติดรถ ยอดเบี้ยประกันก็จะเหลืออยู่แค่ 4,000 - 4,500 บาทเลย
วิธีนี้เป็นนโยบายจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพราะว่าถือเป็นหลักฐานหากรถเราเกิดอุบัติเหตุ และก็เป็นส่วนช่วยให้บริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
6. เลือกประกันให้เหมาะกับการใช้งาน
การเลือกประกันรถที่เหมาะกับการขับขี่ของเรา จะช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้นค่ะ โดยอาจจะดูจากอายุการใช้งานรถ หรือ พฤติกรรมการขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนที่ขับรถชำนาญอยู่แล้วในระดับหนึ่ง
มีประวัติการขับขี่ที่ดี ไม่เคยผ่านการเฉี่ยวชนหรืออุบัติเหตุที่เราเป็นคนผิดเลย แนะนำเป็นประกันรถยนต์ชั้น 2+ หรือ 3+ ได้เลยค่ะ มีความคุ้มค่าไม่ต่างกันเลย เพราะถ้าเรามั่นใจ ไม่มีปัญหาต้องกังวลก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแค่ประกันชั้น 1
แต่ประกันชั้นอื่นๆ ก็จะช่วยให้เราประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้นอีกค่ะ ต่อประกันรถครั้งต่อไป ก็สามารถใช้วิธีที่แนะนำได้เลย รับรองว่าช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มากขึ้นแน่นอนค่า