รู้ก่อนซื้อ รถ Hybrid มีข้อดี-ข้อเสีย อะไรบ้าง?
แม้ว่าช่วงนี้ คนไทยจะหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% กันมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีรถอีกหนึ่งประเภทที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นั่นก็คือ “รถ Hybrid”
เพราะเป็นรถยนต์ประเภทลูกผสมที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานขับเคลื่อนได้ถึง 2 ระบบ คือพลังงานเชื้อเพลิงจากการสันดาปน้ำมัน และพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่
โดยเมื่อมีการขับรถด้วยความเร็วสูง หรืออยู่ในช่วงเร่งแซง รถ Hybrid ก็จะใช้พลังงานน้ำมัน แต่ถ้าใช้ความเร็วต่ำ เช่น เจอรถติด ระบบก็จะปรับไปใช้พลังงานไฟฟ้าอัตโนมัติ
จึงช่วยให้คนที่อยากเปลี่ยนจากการใช้รถน้ำมันไปสู่การใช้รถไฟฟ้า สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ง่ายขึ้น แต่ข้อควรรู้คือ รถ Hybrid ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ไม่ต่างจากรถประเภทอื่น ดังนั้นถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังจะตัดสินใจซื้อรถ Hybrid ก็ควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ให้ครบถ้วนก่อน
ข้อดีของรถ Hybrid
1. ประหยัดค่าน้ำมันได้มากกว่ารถยนต์น้ำมัน
ในช่วงเวลาที่รถติด เครื่องยนต์ของรถ Hybrid จะใช้พลังงานไฟฟ้าแทนพลังงานน้ำมันโดยอัตโนมัติ จึงช่วยให้ผู้ขับขี่ประหยัดค่าน้ำมันได้มากพอสมควร เมื่อเทียบกับรถสันดาปน้ำมันทั่วไป โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้รถในกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งต้องเจอกับรถติดเป็นประจำทุกวัน
2. ช่วยลดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ในช่วงที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้า เครื่องยนต์รถ Hybrid จะไม่มีการสันดาปน้ำมันเลยย และจะไม่มีการปล่อยไอเสียออกสู่ชั้นบรรยากาศด้วย จึงช่วยลดมลพิษ ที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนได้ในระยะเวลาหนึ่ง
3. หมดกังวลเรื่องการชาร์จไฟและขับได้ไกลกว่าเดิม
แม้ว่ารถ Hybrid จะใช้พลังงานไฟฟ้าได้ แต่พลังงานไฟฟ้าที่ถูกดึงมาใช้นั้นจะเป็นพลังงานที่ถูกกักเก็บไว้ในแบตเตอรี่อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องชาร์จเพิ่มทุกวันเหมือนรถไฟฟ้า 100% หรือรถ EV
อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบก่อนซื้อ รถไฟฟ้า vs รถน้ำมัน เลือกอะไรดี?
ทำให้ผู้ขับขี่สะดวกสบายมากขึ้น สามารถใช้รถได้ตลอดเวลาที่ต้องการ และขับรถทางไกลได้แบบหายห่าง เพราะไม่ต้องคอยกังวลเรื่องสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ยังมีไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่
4. แบตเสื่อม มอเตอร์พัง ก็ยังใช้ได้
อีกหนึ่งความพิเศษของรถ Hybrid คือ เมื่ออุปกรณ์บางอย่างในระบบไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ เจเนอเรเตอร์ เกิดเสื่อมสภาพ หรือชำรุดเสียหาย รถก็ยังคงใช้งานในระบบสันดาปน้ำมันได้ตามปกติ
5. แบตเตอรี่ถูกกว่ารถไฟฟ้า
นอกจากนั้น ถ้าเกิดอุบัติเหตุรถชน หรือรถเสีย ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ก็สามารถเปลี่ยนได้ง่ายๆ ในราคาที่สบายกระเป๋ากว่า เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้า 100% อีกทั้งยังสามารถซ่อมแซมรถแบบเฉพาะจุดได้ ไม่จำเป็นต้องยกเครื่องใหม่เสมอไป
6. อัตราเร่งดี ขับได้ดั่งใจ
การที่สามารถใช้ระบบไฟฟ้าช่วยขับเคลื่อนได้ ทำให้รถ Hybrid มีสมรรถนะรถที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับรถสันดาปน้ำมันทั่วไป เพราะไม่ต้องรอการจุดติด และเผาไหม้น้ำมัน จึงทำให้ออกตัวได้ดี เครื่องยนต์ตอบสนองไว และเร่งความเร็วได้เต็มที่ ไม่มีสะดุด
อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละชั้น คุ้มต่างกันยังไง?
7. เครื่องเงียบ ไร้เสียงรบกวน
สำหรับใครที่ไม่ชอบเครื่องยนต์เสียงดัง รถ Hybrid ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะเครื่องยนต์จะค่อนข้างเงียบ ไร้เสียงรบกวน และเมื่อถึงเวลารถติด หรือรถไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเวลานานๆ
เครื่องยนต์ก็จะดับโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ขับขี่ไม่เกิดความรำคาญเรื่องเสียง
8. มีรถหลายรุ่นให้เลือก
รถ Hybrid มีรุ่นรถให้เลือกใช้ได้มากกว่ารถไฟฟ้า 100% โดยปัจจุบันมีทั้งรถเก๋ง รถเอนกประสงค์ รถตู้ และล่าสุดก็มีการเปิดตัวรถกระบะ Hybrid แล้วด้วย เรียกได้ว่าครอบคลุมรถยนต์ทุกประเภทจริงๆ
9. ประกันภัยรถหาง่าย และค่าเบี้ยเหมาะสม
เมื่อคุณคิดจะซื้อรถ Hybrid สักคัน ก็อย่าลืมทำประกันรถยนต์ด้วย เพราะสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความคุ้มครองให้ทั้งคนและรถได้เป็นอย่างดี
อ่านเพิ่มเติม: ฝนตกหนักแบบนี้ รถ EV ขับลุยน้ำได้ไหม?
โดยสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประกันรถยนต์ Hybrid คือ มีให้เลือกหลายประเภท ตั้งแต่ประกันชั้น1 ไปจนถึงประกันชั้น 3 มีบริษัทประกันให้เลือกได้มากกว่า และมีค่าเบี้ยที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกับประกันรถยนต์ไฟฟ้า 100%
ข้อเสียของรถ Hybrid ที่ไม่ควรมองข้าม
1. บำรุงรักษายากและค่าใช้จ่ายสูง
การที่รถ Hybrid ทำงานได้ 2 ระบบ ทำให้ส่วนประกอบต่างๆ ของเครื่องยนต์มีความซับซ้อนมากกว่ารถยนต์ทั่วไปและรถยนต์ไฟฟ้า 100% ดังนั้นการบำรุงรักษาจึงมักจะทำได้ยากกว่า และมีค่าใช้จ่ายสูง เพราะจำเป็นต้องใช้ช่างและเครื่องมือเฉพาะทาง
2. แบตเตอรี่แพงกว่ารถน้ำมัน
แม้ว่าแบตเตอรี่ของรถ Hybrid จะถูกกว่ารถไฟฟ้า แต่เมื่อเทียบกับรถน้ำมันแล้ว ค่าแบตถือว่าแพงกว่าพอสมควร เพราะแผงแบตเตอรี่มีความซับซ้อนกว่า และเก็บพลังงานได้มากกว่า
โดยราคาแบตเตอรี่รถ Hybrid มีตั้งแต่หลักหมื่นปลายๆ ไปถึงหลักแสนบาท ส่วนแบตรถไฟฟ้า 100% อยู่ที่ประมาณ 5 แสนบาท และแบตรถน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาท (*ราคาขึ้นอยู่กับความจุแบตเตอรี่)
3. อาจตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่ได้ไม่เต็มที่
ถึงแม้เครื่องยนต์จะทำงาน 2 ระบบ แต่ก็มีโอกาสที่ระบบใดระบบหนึ่งจะพังไปก่อนได้ โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นระบบไฟฟ้าที่พังก่อน
จึงอาจทำให้คนที่อยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนหันไปใช้รถไฟฟ้า 100% อาจไม่ได้รับความสะดวกสบาย หรือรู้สึกไม่ตอบโจทย์
แนะนำรถ Hybrid ยอดฮิตในไทย
ถ้าคุณศึกษาข้อดี-ข้อเสียครบถ้วนแล้ว และตัดสินใจว่าจะซื้อรถ Hybrid แน่ๆ แต่ยังไม่รู้ว่าจะซื้อรถ Hybrid รุ่นไหน? หรือแบรนด์ไหนดี? วันนี้ SMILE INSURE รวบรวมข้อมูลรถ Hybrid รุ่นยอดฮิตมาให้แล้ว
อ่านเพิ่มเติม: ต้องรู้! ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์หลังน้ำท่วม
1. Honda New City e:HEV SV
รถ Hybrid สปอร์ตซีดาน ที่เท่ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และสมรรถนะภายใน อาทิ เครื่องยนต์ไฮบริด DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ขนาด 1,500 ซี.ซี. ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กำลังสูงสุด 109 แรงม้า
แรงบิดสงสุด 253 นิวตันเมตร และมีอัตราประหยัดน้ำมันถึง 27.8 กิโลเมตรต่อลิตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 849,000 บาท
อ่านเพิ่มเติม: เดินข้างถนนแล้วรถชนเบิก พ.ร.บ. ได้ไหม?
2. Toyota Corolla Cross 1.8 Sport Plus
ถ Hybrid ทรง SUV ราคาจับต้องได้ จากค่าย Toyota ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ไฮบริด ที่การันตีการประหยัดน้ำมันถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 98 กรัมต่อกิโลเมตร
นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นอยู่ที่ดีไซน์สปอร์ต เช่น กระจังหน้าสีดำเงา คิ้วขอบกระจกประตูสำดำ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์และไฟตัดหมอกแบบ LED ฯลฯ
อ่านเพิ่มเติม: จอดรถทับทางม้าลาย อาจถูกปรับไม่รู้ตัว!
3. MG HS PHEV
MG HS PHEV เป็นรถ Hybrid แบบ Plug-in Hybrid ที่มีแบตเตอรี่ใหญ่กว่ารถ Hybrid ทั่วไป และสามารถชาร์จไฟฟ้าเพิ่มเติมจากภายนอกได้
โดยไฮไลต์อยู่ที่กำลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายในเวลา 7.5 วินาที
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ Hybrid แต่ละรุ่น ก็มีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป ควรสอบถามข้อมูลจากศูนย์บริการให้ครบถ้วน และทดลองขับจริง ก่อนตัดใจสินซื้อรถ
แต่ไม่ว่าสุดท้าย คุณจะตัดสินใจซื้อรถยนต์ Hybrid รุ่นอะไรตาม ก็อย่ามองข้ามการทำประกันรถยนต์เด็ดขาด เพราะสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความคุ้มครองให้กับคุณและรถได้
ทำให้ข้อเสียบางอย่างของตัวรถไม่กลายเป็นอุปสรรคในการขับขี่ และทำให้คุณสามารถใช้รถได้อย่างอุ่นใจมากยิ่งขึ้น