5 จุดนี้ เช็คให้ดี หลังเดินทางไกล

หยุดยาวผ่านไป กลับจากเดินทางไกลก็กลับมาเช็กรถกันหน่อย หลายๆ ท่านน่าจะใช้รถในการเดินทางกลับจากการท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลำเนา ซึ่งการเดินทางส่วนใหญ่มักจะใช้รถในการ ขับระยะทางไกล แบบข้ามจังหวัด มาตรวจเช็กรถโดยด่วน!! หลังจากการใช้รถในการเดินทางไกล

1. ล้างรถโดยด่วน 

ไม่จำเป็นว่ารถของคุณต้องขับฝ่าสายฝนหรือขับลุยโคลนเเล้วจึงค่อยล้างรถ เพราะการขับรถระยะไกลย่อมมีฝุ่นละอองจับเกาะที่ตัวรถของคุณ หากยังไม่มีการล้างรถฝุ่นเหล่านี้ หากเกาะรถเป็นเวลานานก็อาจสร้างปัญหาให้กับสีรถได้ ทางที่ดี เสร็จจากการเดินทางไกลก็ล้างรถซะหน่อย อีกอย่างก็คือเศษอาหาร ขยะ ที่เราเดินทางบางสิ่งบางอย่างยังอยู่ในรถ อาจเกิดกลิ่นเหม็น หรือ มด ตามมาก็ได้

2. เช็กสภาพล้อรถยนต์

• ความลึกของดอกยาง เช็กได้ด้วยตัวเองง่ายๆ โดยการใช้เหรียญบาทเสียบลงตามร่องของยาง หากมองเห็นส่วนใบหน้าเหรียญครบทั้งหมด นั้นเป็นสัญญาญเตือนว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางแล้ว 
• รอยบนหน้ายาง เป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่ายๆ หลังจากที่ขับรถทางไกลแล้วขับไปบนพื้นถนนที่ขรุขระไม่เรียบ ตรวจเช็กดูว่ามีรอยชำรุด ยางปูดบวม ดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอกัน มีรอยแห้งแตกอยู่บนแก้มยางรถยนต์ของคุณหรือไม่  หรือไม่มีความยืดหยุ่นในระหว่างที่คุณเบรก แสดงว่าอาจมีการรั่วซึมอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นอันตรายในการขับขี่ในครั้งถัดไป 
• ลมดันลมยาง การตรวจเช็กลมยางมาตรฐานสามารถดูได้จากแผ่นป้ายบริเวณประตูฝั่งคนขับ หรือในคู่มือประจำรถ แนะนำว่าควรรอให้ยางมีความเย็นก่อนหรือประมาณ 3 ชม.
• มีสิ่งทิ่มยางรถยนต์ หากพบว่ามีตะปู เศษเหล็ก หรือก้อนหินทิ่มแทง หรืออุดอยู่ที่ยางรถยนต์ของคุณ จะทำให้เกิดปัญหายางรั่ว และอาจจะเป็นอันตรายถึงขั้นยางระเบิดได้ 

3. เช็กน้ำมันเครื่อง เช็กน้ำยาหล่อเย็น

ควรเช็กให้แน่ใจว่าอยู่ในระดับปกติอยู่หรือไม่ เดินทางไกลแล้วไม่ควรปล่อยให้ระดับน้ำมันลดลงไปน้อยกว่าระดับที่วัดก่อนเดินทาง และต้องเช็กว่ามีการรั่วซึมหรือไม่ อยู่ในระดับที่ปกติไม่มากและไม่น้อยเกินไป

หากนอกเหนือกว่านั้น เช่น ตรวจพบว่าอยู่ในระดับปกติแต่สีของน้ำมันเครื่องมีความดำมากแสดงว่าน้ำมันเครื่องมีความสกปรกอาจจะทำให้ประสิทธิภาพการหล่อลื่นลดลง

เช็กน้ำยาหล่อเย็น ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์เป็นจุดที่ต้องตรวจเช็กบ่อยๆ วิธีเช็กง่ายๆ เพื่อดูว่าระดับไหนที่ถือว่าปกติให้สังเกตที่หม้อพักน้ำยาหล่อเย็นจะมีสัญลักษณ์บอกระดับน้ำ คือ Min และ Max

ถ้าระดับน้ำอยู่ต่ำกว่า Min แสดงว่าน้ำน้อยเกินไปซึ่งเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์และเป็นเหตุทำให้เครื่องยนต์ฮีต วิธีแก้เพียงเติมน้ำยาหล่อเย็นที่สามารถหาซื้อได้จากร้านขายอะไหล่ทั่วไป โดยเติมน้ำยาเข้าไปให้ได้ระดับที่พอดีไม่มากเกินขีด Max เพราะถ้ามากเกินจะทำให้น้ำที่เดือดแล้วล้นออกมาส่งผลให้เป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์เช่นกัน

4. เช็กช่วงล่างรถยนต์ และระบบการสั่นสะเทือน 

ส่วนใหญ่แล้วถ้าอาการที่ช่วงล่าง และการสั่นสะเทือนมีปัญหาให้ลองสังเกตได้ เมื่อครั้งถัดไปที่คุณขับขี่แล้วรถเกิดอาการร่อนเมื่อขับด้วยความเร็ว เวลาที่เร่งความเร็วหรือเวลาเบรกแล้วหน้าจะทิ่มมากกว่าปกติ อีกหนึ่งอาการคือภายในห้องโดยสารมีความนุ่มผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถซับแรงสะเทือนเองได้ มีความกระดอนผิดจังหวะ แสดงว่าโช้คมีการทำงานที่ผิดปกติถือได้ว่ามีความอันตรายอยู่พอสมควร

นอกจากนั้นต้องลองตรวจเช็กลูกหมากปีกนก ลูกหมากคันชักตัวนอก ลูกหมากแร๊ค รวมไปถึงลูกปืนล้อ  วิธีเช็กคือเมื่อขับขี่จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหมุนเลี้ยวจะมีระยะมากกว่าปกติ มีอาการเสียงดังเวลารถตกหลุม หรือตอนที่รถเอียงตัว

เช็กสภาพตัวถัง  ตรวจสอบเช็กร่องลอยตามตัวถังรถยนต์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรอยเพิ่มขึ้น อีกหนึ่งวิธีที่สังเกตและสามารถตรวจเช็กได้ด้วยตัวเอง หลังจากกลับจากการขับขี่ระยะทางไกลการล้างทำความสะอาดรถเพื่อชำระฝุ่นควันต่างๆ ที่ติดมาออกไปนั้นเป็นสิ่งที่ดี

5. เช็กไส้กรองอากาศ 

ฝุ่นในระหว่างการเดินทางไกลสร้างความสกปรกให้ไส้กรอง ยิ่งเดินทางไกลรถยนต์ยิ่งต้องเผชิญกับฝุ่นละอองต่างๆ วิธีตรวจเช็กก็สามารถทำได้ง่ายๆ เมื่อเปิดฝากระโปรงขึ้นจะเห็นหม้อกรองอากาศที่อยู่ติดกับลิ้นปีกผีเสื้อจากนั้นให้แกะกิ๊บล็อคหม้อกรองออกมาดูว่าสกปรกและมีฝุ่นเยอะเกินไปหรือไม่ สามารถถอดเพื่อเคาะฝุ่นออก หรือใช้ลมเป่าออกได้

ถ้าหากปล่อยเอาไว้จะทำให้เศษฝุ่นเหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มพื้นที่ตัวไส้กรองทำให้ประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นลดลง ทำให้ฝุ่นไปอุดตันที่ลิ้นปีกผีเสื้อส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานเดินไม่นิ่ง และใส้กรองตันในที่สุด

จุดสำคัญสำหรับการใช้รถมากที่สุดแล้ว คงหนีไม่พ้นการดูแล ใช้งานมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องดูแลมากเท่านั้น ถึงแม้อุบัติเหตุมันเป็นเรื่องที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ แต่เราก็ป้องกันเอาไว้ให้โอกาสเกิดมันน้อยที่สุดได้ อย่าลืมหมั่นดูแลและตรวจสอบรถของตัวเองเพื่อหยุดยาวครั้งหน้าจะได้เดินทางปลอดภัยนะ