ประกันชั้น 2+ คุ้มครองอะไรบ้าง?
ประกันชั้น 2+ คุ้มครองอะไรบ้าง?
หลายคนคงทราบกันดีว่าประกันรถยนต์ภาคสมัครใจนั้นมีหลายประเภท ให้คนมีรถสามารถเลือกซื้อได้ตามไลฟ์สไตล์การขับขี่
เช่น ถ้าเป็นรถใหม่ที่ต้องการความคุ้มครองครอบคลุมรอบด้าน ก็ต้องเลือกซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือถ้าเป็นรถเก่าที่ใช้งานน้อย และอยากประหยัดค่าเบี้ยประกันให้มากที่สุด ก็ต้องเลือกประกันรถยนต์ชั้น 3
แต่ถ้าอยากให้รถได้รับความคุ้มครองไม่ต่างจากประกันรถยนต์ชั้น 1 มากนัก แต่จ่ายค่าเบี้ยประกันถูกลงเกือบครึ่ง ต้องเลือก “ประกันรถยนต์ชั้น 2+” ประกันเพื่อคนอยากประหยัด ที่อยากเซฟทั้งรายจ่าย และความมั่นใจให้มากขึ้น
ความคุ้มครองของประกันชั้น 2+
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ หรือประกันรถยนต์ 2 บวก คือ ประกันภัยรถยนต์ประเภท 5 ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อคุ้มครองกรณีที่รถยนต์คันเอาประกันภัยกรณีชนกับยานพาหนะทางบก และต้องมีคู่กรณีเท่านั้น
อ่านเพิ่มเติม: รถชนไม่มีคู่กรณี ประกันชั้น 2+ เคลมได้ไหม?
หรืออธิบายง่ายๆ ได้ว่า บริษัทประกันจะรับผิดชอบก็ต่อเมื่อเกิดเหตุรถชนรถเท่านั้น แม้ว่าคู่กรณีจะยังอยู่ในเหตุการณ์ หรือหลบหนีไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าเป็นการขับชนต้นไม้ เสาไฟ กำแพงบ้าน ฯลฯ บริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบทุกกรณี
โดยมีเงื่อนไขความคุ้มครอง ดังนี้
1. คุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถคันเอาประกันภัย (Third Party Bodily Injury: TPBI) ด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำ 100,000 บาทต่อคน และ 10,000 บาทต่อครั้ง
2. คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก (Third Party Property Damage: TPPD) ขั้นต่ำ 200,000 บาทต่อหนึ่งครั้ง
3. คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันภัย (Own Damage: OD) ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ อุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง และส่วนควบที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ แต่ไม่รวมความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ ด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำ 50,000 บาท (รถจักรยานยนต์ 5,000 บาท)
4. คุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย (Fire and Theft: F&T) ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของรถยนต์ รวมทั้งอุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง และส่วนควบที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ ที่ถูกไฟไหม้ หรือสูญหาย
เพราะถูกลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ หรือเป็นผลมาจากการพยายามกระทำดังกล่าว
อ่านเพิ่มเติม: รู้ก่อนตัดสินใจ ประกันชั้น 2+ ต่างกับประกันชั้นอื่นอย่างไร?
ประกันชั้น 2+ เหมาะกับใครหรือรถแบบไหน?
ด้วยความพิเศษของประกันรถยนต์ชั้น 2+ ที่จะคุ้มครองก็ต่อเมื่อมีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น จึงเหมาะกับรถที่ไม่ใช่รถใหม่ มีอายุการใช้งานหลายปีแล้ว
ส่วนผู้ขับขี่ก็ต้องมีความชำนาญในการขับรถ คุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี หรือใช้งานเส้นทางเดิมในทุกๆ วัน และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยกับการใช้รถใช้ถนน
เช่น ถนนดี ไม่มีมุมอับ หรือจุดเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ มีกล้องวงจรปิดช่วยยืนยันการเกิดอุบัติเหตุได้ กรณีที่รถชนรถ แต่คู่กรณีหลบหนี เพราะต้องไม่ลืมว่าประกันประเภทนี้ ต้องมีคู่กรณี ถึงจะเคลมได้
อ่านเพิ่มเติม: ถอยรถชนรั้วบ้าน! ประกันชั้น 2+ คุ้มครองหรือไม่?
รวมถึงรถที่ยังไม่เก่ามาก แต่ใช้งานน้อย และเจ้าของรถต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังอยากได้ความคุ้มครองหลายด้านอยู่ การใช้ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
เปรียบเทียบความต่างของประกันชั้น 2+ กับประกันอื่นๆ
1. ประกันรถยนต์ชั้น 2+ กับประกันรถยนต์ชั้น 1
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประกันรถยนต์ชั้น 1 คือ คุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
และผู้โดยสารในรถคันเอาประกันภัย คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันภัย รวมถึงคุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย แต่จะไม่คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ค่าเบี้ยประกันถูกกว่าประกันชั้น 1 โดนส่วนใหญ่ประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะเริ่มต้นที่ 5,xxx บาท ส่วนประกันรถยนต์ชั้น 1 เริ่มต้นที่ 1x,xxx บาท *ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่น และปีของรถ
เช็คค่าเบี้ยประกัน คลิก SMILE INSURE
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ต้องมีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น ถึงจะเคลมได้ ต่างจากประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่เคลมได้ทั้งแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี
2. ประกันรถยนต์ชั้น 2+ กับประกันรถยนต์ชั้น 2
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองมากกว่าประกันภัยชั้น 2 คือ คุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกันภัย คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
อ่านเพิ่มเติม: รู้ไหม? ประกันชั้น 2+ ต่างกับประกันชั้น 1 อย่างไร?
คุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์ และเพิ่มความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถที่ทำประกันด้วย เพราะปกติแล้วประกันรถยนต์ชั้น 2 จะคุ้มครองการซ่อมรถให้แค่คู่กรณีเท่านั้น
3. ประกันรถยนต์ชั้น 2+ กับประกันรถยนต์ชั้น 3
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองมากกว่าประกันรถยนต์ชั้น 3 เพราะประกันรถยนต์ชั้น 3 จะคุ้มครองแค่ความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกันภัย และคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเท่านั้น เบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 2+ แพงกว่าประกันรถยนต์ชั้น 3 มากพอสมควร
4. ประกันรถยนต์ชั้น 2+ กับประกันรถยนต์ชั้น 3+
แม้ว่าประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะคุ้มครองความเสียหายต่อรถคันเอาประกันเหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 3+ แต่ในภาพรวมนั้นให้ความคุ้มครองมากกว่า
เบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 2+ แพงกว่าประกันรถยนต์ชั้น 3+ เพียงเล็กน้อย หลายคนที่พอมีงบประมาณ จึงเลือกที่จะเพิ่มเบี้ยอีกนิดหน่อย เพื่อขยับขึ้นไปใช้ประกัน 2+ เพราะมองว่าคุ้มค่ากว่า
ทำประกันชั้น 2+ ดียังไง?
เมื่อมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าผู้อ่านคงทราบกันแล้วว่า ประกันรถยนต์ชั้น 2+ น่าสนใจขนาดไหน แต่เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เราจะสรุปให้อีกครั้ง ดังนี้
1. ได้รับความคุ้มครองใกล้เคียงประกันชั้น 1 แต่ค่าเบี้ยประกันถูกกว่าเกือบครึ่ง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี
2. ช่วยเสริมความมั่นใจยามเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเวลาที่ชนรถหรู มูลค่าสูงกว่ารถของตัวเอง เพราะนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถที่มหาศาล การทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ แม้ค่าเบี้ยไม่สูงมาก แต่ถ้าเลือกแผนประกันดีๆ ทุนประกันที่ได้รับก็จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปได้
3. ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เป็นตัวเลือกที่ดีในการปรับเปลี่ยนแผนประกันในแต่ละปีให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การใช้รถที่อาจไม่คงที ซึ่งข้อนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่หลายคนอาจจะยังเข้าใจผิดอยู่ หรือไม่เคยรู้มาก่อน
คือ แผนประกันสามารถเปลี่ยนได้ทุกปี ประกันชั้น 1 เมื่อกรมธรรม์สิ้นสุดแล้ว สามารถเปลี่ยนไปเป็นชั้น 2+ ได้ และประกันชั้น 2+ เอง
เมื่อกรมธรรม์สิ้นสุดแล้ว และรถยังไม่เก่าเกินเกณฑ์ ก็เปลี่ยนกลับไปเป็นชั้น 1 ได้เช่นกัน ไม่มีผลเสียต่อประวัติการคุ้มครองแต่อย่างใด เหมาะกับคนที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายในบางช่วงเวลา
ซื้อประกันรถยนต์ชั้น 2+ ที่ไหนดี
สำหรับคนที่ตัดสินใจจะเลือกซื้อประกันรถยนต์ชั้น 2+ แต่ยังไม่รู้ว่าจะซื้อที่ไหนดี เรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากกัน
อ่านเพิ่มเติม: ต้องรู้! เงื่อนไขของประกันชั้น2+ มีอะไรบ้าง?
1. พิจารณาเบี้ยประกันกับงบประมาณที่มี
ในปัจจุบันมีประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้เลือกซื้อมากมายหลากหลายแผน หลากหลายราคา ดังนั้นอย่างแรกที่ช่วยตัดสินใจได้คือ “ราคาค่าเบี้ยประกัน” โดยอาจตัดช้อยส์ด้วยการดูว่าค่าเบี้ยประกันของแผนนั้นๆ อยู่ในงบที่วางไว้หรือไม่
2. ดูเงื่อนไขความคุ้มครองและทุนประกัน
เมื่อเลือกเบี้ยประกันตามงบได้แล้ว ควรดูทุนประกันที่จะได้รับ ควบคู่กันไปด้วย เพราะไม่แน่ว่าประกันของบางบริษัทที่เบี้ยสูง อาจให้ความคุ้มครองและทุนประกัน ที่คุ้มค่าน้อยกว่าแผนประกันที่เบี้ยต่ำกว่าของอีกบริษัทหนึ่งก็ได้
สนใจทําประกันรถยนต์ กรอกข้อมูลได้ที่นี่
3. มองหาบริการพิเศษอื่นๆ
เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา การมองหาบริการพิเศษเพิ่มเติมจากความคุ้มครองพื้นฐาน เช่น บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. บริการแจ้งเหตุผ่านแอปพลิเคชั่น ฯลฯ ก็เป็นออปชั่นเสริมประกอบการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี
4. เลือกจากบริษัทที่น่าเชื่อถือ
สุดท้ายคือการเลือกซื้อประกันรถยนต์ชั้น 2+ จากบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีตัวตน และมีรีวิวจากลูกค้าเก่า
เช่น คุ้มภัยโตเกียวมารีน ธนชาตประกันภัย เมืองไทยประกันภัย กรุงเทพประกันภัย วิริยะประกันภัย สินมั่นคงประกันภัย เป็นต้น หรือซื้อผ่านโบรกเกอร์มืออาชีพอย่าง SMILE INSURE