6 เทคนิค ถนอมแบตเตอรี่ รถ EV ระยะยาว
สำหรับคนใช้รถ EV สิ่งที่ยังเป็นความกังวลอยู่ไม่น้อยเลยคงไม่พ้นเรื่องแบตเตอรี่ แม้ข้อดีของรถประเภทนี้ที่ไม่ต้องคอยเติมน้ำมัน แต่เชื่อเลยว่าหลายคนคงอยากให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานเหมือนกัน
แบตรถ EV มีอายุการใช้งานกี่ปี?
โดยอีกหนึ่งมาตรฐานที่ทางผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต้องยึดถือ โดยเฉพาะผู้ผลิตสัญชาติอเมริกา นั่นก็คือ การรับประกันแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายของรัฐบาลกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่กำหนดให้แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องได้รับการรับประกันคุณภาพให้มีอายุการใช้งานอยู่ที่ 8-10 ปี
หรือเทียบเท่าระยะทาง 100,000-150,000 ไมล์ (ประมาณ 160,000-240,000 กิโลเมตร) ซึ่งแม้ประเทศอื่นอาจจะไม่ได้มีการออกกฎหมายเช่นเดียวกันนี้ แต่ผลของกฎหมายนี้ก็จะเป็นตัวกำหนดมาตรฐานของผู้ผลิตอื่นด้วยเช่นกัน
อ่านเพิ่มเติม: 4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป
ตามมาตรฐานของฝั่งผู้ผลิต เราอาจจะอุ่นใจได้ว่าโดยทั่วไปแล้ว อายุการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่ำคือ 10 ปีโดยประมาณ ซึ่งแน่นอนว่าในความเป็นจริงตัวเลขก็อาจจะมีความแตกต่างไปจากนี้ได้
จากปัจจัยต่างของผู้ใช้เอง โดย 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลกับอายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก็คือ ความร้อน พฤติกรรมการชาร์จ และพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้นั้นมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับเรื่องแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า
อ่านเพิ่มเติม: จริงหรือไม่? รถ EV ขับลุยน้ำได้ดีกว่ารถยนต์ทั่วไป
ประเภทของรถ EV
BEV (Battery Electric Vehicle) รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว
PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก ชาร์จไฟได้ ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายใน
HEV (Hybrid Electric Vehicle) รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด ไม่ต้องเสียบปลั๊ก ชาร์จไฟเองอัตโนมัติ ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายใน
อ่านเพิ่มเติม: แนะนํา 4 รุ่น รถ EV ยอดนิยมในประเทศไทยปี 2023
และอย่างที่รู้กันดีว่าแบตเตอรี่ของรถ EV นั้นมีราคาค่อนข้างสูงการที่แบตเสื่อมหรือใช้งานได้ไม่มีประสิทธิภาพจนต้องมีการเปลี่ยนแบบตถือเป็นเรื่องที่หนักใจของผู้ใช้รถเป็นอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถเลือกถนอมแบตรถ EV ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นแค่เพียงทำตามวิธีดังนี้
6 เทคนิค ถนอมแบตรถ EV
แบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญของรถ EV การดูแลรักษาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เทคนิคเหล่านี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของคุณ
1. ชาร์จไฟอย่างถูกวิธี
ไม่ควรชาร์จไฟจนเต็ม 100% อยู่เสมอ พยายามรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20% ถึง 80%
หลีกเลี่ยงการชาร์จไฟเร็วบ่อยๆ การชาร์จไฟแบบปกติ (AC) จะช่วยถนอมแบตเตอรี่มากกว่า
ชาร์จไฟในสถานที่ที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป
2. ขับขี่อย่างประหยัด
- ขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ หลีกเลี่ยงการเร่งความเร็วหรือเบรกกะทันหัน
- ใช้โหมดการขับขี่แบบ Eco เพื่อประหยัดพลังงาน
- ปิดระบบที่ไม่จำเป็น เช่น เครื่องปรับอากาศ วิทยุ ไฟส่องสว่าง
3. จอดรถอย่างระมัดระวัง
- จอดรถในที่ร่ม อุณหภูมิไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน
- ไม่ควรจอดรถทิ้งไว้จนแบตเตอรี่ใกล้หมด
4. ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่
- ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ สังเกตความร้อน
- นำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนด
5. อัพเดทซอฟต์แวร์
- อัพเดทซอฟต์แวร์ของรถอยู่เสมอ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่
6. เลือกซื้อรถ EV ที่มีแบตเตอรี่คุณภาพดี
- เลือกซื้อรถ EV จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
- เปรียบเทียบสเปคของแบตเตอรี่ก่อนตัดสินใจซื้อ
ข้อดีของรถ EV มีอะไรบ้าง คุ้มไหมถ้าตัดสินใจซื้อ?
1. ประหยัดค่าใช้จ่าย
เพราะค่าไฟฟ้าในการชาร์จรถ EV นั้นถูกกว่าค่าน้ำมันทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบค่าพลังงานเฉลี่ยของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน หรือดีเซล
จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ ลิตรละ 30-40 บาท ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ความแตกต่างกันตามประเภทของการชาร์จ
- ชาร์จไฟบ้านผ่านมิเตอร์แบบ TOU ค่าพลังงานไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละประมาณ 2.6369 บาท/หน่วย
- ชาร์จแบบ DC Fast charge ตามสถานีชาร์จสาธารณะ มักจะมีค่าบริการอยู่ราวๆ 7.5 บาท/หน่วย
- ซึ่งไฟฟ้า 1 หน่วย จะสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าได้ระยะทางราว 4-7 กิโลเมตร/หน่วย เลยทีเดียว หากเปรียบเทียบค่าพลังงานต่อกิโลเมตรแล้ว พบว่ารถยนต์ไฟฟ้าประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า
- รถยนต์ไฟฟ้า มีต้นทุนค่าพลังงานในการเดินทางเริ่มต้นประมาณ 0.37 บาท/ 1 กิโลเมตร
- รถยนต์น้ำมัน มีต้นทุนค่าพลังงานในการเดินทางเริ่มต้นประมาณ 1.76 บาท/ 1 กิโลเมตร
2. รถ EV เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากเป็นรถที่ไม่ปล่อยมลพิษทางอากาศทำให้แม้ว่าจะเดินทางใกล้ หรือไกล ก็ยังสามารถชาร์จพลังงานจากสถานีชาร์จได้ง่าย หรือแม้แต่ยามคับขันแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากปลั๊กไฟธรรมดาได้ด้วยเช่นกัน แต่จะใช้เวลาการชาร์จที่ยาวนานกว่า
นอกจากนี้รถ EV ก็เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการที่มันไม่มีการคายไอเสียออกมานั่นเอง ทำให้มันสามารถใช้งานในสถานที่ปิดได้ และยังเป็นรถที่มีฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่
อ่านเพิ่มเติม: รู้ก่อนซื้อรถ EV จะต้องเตรียมอะไรบ้าง?
3. ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
รถยน EV เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดอากาศเสีย ซึ่งก็จะสอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และนโยบายลดโลกร้อนที่รัฐบาลหลายประเทศต่างให้การสนับสนุน
อ่านเพิ่มเติม: รถ EV ชาร์จไฟแบบ AC หรือ DC แบบไหนดีกว่ากัน
และด้วยเหตุผลนี้ส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศที่มีความต้องการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าให้มีเพิ่มขึ้น หรือตั้งเป้าให้มาทดแทนรถยนต์สันดาปแบบเดิม จึงมีมาตรการสนับสนุนจากทางภาครัฐอยู่หลากหลายรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า , สิทธิพิเศษทางภาษี หรือสิทธิพิเศษอื่นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
ควรชาร์จแบตเตอรี่ รถ EV ให้เต็มหรือไม่?
สำหรับการใช้รถ EV หลายคนคงมีความคิดว่าชาร์จแบตเตอรี่ไว้เต็ม 100% จะดีที่ส่วนแต่ความจริงแล้วเราแนะนำให้ชาร์จไม่ต้องเต็ม 100% เนื่องจากกระแสไฟจะถูกหมุนเวียนไปเรื่อยๆ
ขณะชาร์จส่งผลให้แบตเตอรี่เกิดความร้อนและทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลดลง โดยควรพยายามรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20% ถึง 80%
ขับรถ EV ต้องเช็คอะไรบ้าง?
1. ระยะทางในการขับขี่
เพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีระยะทางขับขี่ต่อ 1 การชาร์จที่จำกัด โดยระยะทางขับขี่ราวๆ 200
ถึง 600 กม. แล้วแต่รุ่นรถยนต์ และขนาดแบตเตอร์รี่ ทำให้ต้องวางแผนการเดินทางให้ดีและเตรียมหาพิกัดจุดชาร์จไว้ล่วงหน้า
2. เช็คปริมาณแบตเตอร์รี่ที่คงเหลือ
เป็นสิ่งที่ต้องตรวจสอบขณะขับขี่ แม้ว่าจะวางแผนการเดินทางมาแล้ว แต่ก็อย่าลืมดูปริมาณแบตเตอร์รี่ก่อนขับเสมอ
3. ตรวจสอบสถานีชาร์จรถไฟฟ้า
ว่ามีสถานีชาร์จที่ไหนบ้าง แม้ว่าจะมีที่ชาร์จรถ แต่ก็ควรมองหาสถานีชาร์จสำรองไว้ด้วย เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ เช่น ตู้ชาร์จเสีย หรือปิดให้บริการ
4. ตรวจสอบความร้อนของแบตเตอร์รี่
เพราะความร้อนจะเป็นตัวเร่งอายุการใช้งานของแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าให้สั้นลง และส่งผลต่อการชาร์จแบตเตอร์รี่
5. การใช้คันเร่งของรถยนต์ไฟฟ้า
เพราะถ้าขับรถเร็วเกินไป ระบบระบายความร้อนของแบตเตอร์รี่จะไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน ส่งผลให้ไม่สามารถทำ DC Fast Charge ได้ถึงระดับความเร็วที่ควรเป็น เพราะฉะนั้นไม่ควรพยายามเหยียบคันเร่งถี่ๆ หรือขับรถเร็วเกินไป
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลายคนคงรู้กันอยู่แล้วว่าการซื้อรถ EV จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป เราขอแนะนำให้ทำประกันรถเพื่อเป็นตัวช่วยในการคุ้มครองรถของคุณในทุกการขับขี่
เพราะการทำประกันรถ EV ชั้น 1 เป็นเรื่องที่ “คุ้มค่า” ซึ่งจะให้ความคุ้มครองครบถ้วนที่สุด และยังคุ้มครองแบตเตอรี่รถ EV อีกด้วย