แนะนํา 4 รุ่น รถ EV ยอดนิยมในประเทศไทยปี 2023
ในปี 2023 นี้ รถ EV หรือรถไฟฟ้า 100% ได้กลายเป็นกระแสที่แรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรถใหม่ในครึ่งปีแรกถึง 31,738 คัน หรือคิดเป็น 226% ของยอดรวมทั้งหมดในปี 2022
หนึ่งในเหตุผลที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า ปัจจุบันตลาดรถ EV ในไทยมีหลายบริษัทจากทั้งในและต่างประเทศ ผลิตรถ EV รุ่นใหม่ๆ ออกมาวางขายกันมากขึ้น เลยทำให้คนใช้รถมีตัวเลือกมากขึ้นนั่นเอง
แต่สำหรับใครที่คิดว่าในตลาดรถมีตัวเลือกมากเกินไป จนตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะซื้อรถ EV รุ่นไหนดี? วันนี้เรามีข้อมูล “รถ EV 4 รุ่นน่าใช้ในไทย” มาฝากกัน
1. รถ EV Tesla Model Y รุ่น Performance
Tesla Model Y (เทสลา โมเดล วาย) คือ รถ EV จากเทสล่า มอเตอร์ ที่ขึ้นแท่นเป็นรถที่ขายดีที่สุดในโลกช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 และเป็นรถ EV รุ่นยอดฮิตอันดับต้นๆ ในไทยด้วย
โดยรุ่นที่เป็นนิยมมากที่สุด Tesla Model Y รุ่น Performance เพราะนอกจากจะช่วยลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้คนใช้รถ EV หรือรถไฟฟ้า 100% ได้ตื่นตาตื่นใจ
อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 3.7 วินาที
ใช้ความเร็วสูงสุดได้มากถึง 250 กม./ชม.
แบตเตอรี่ความจุ 75 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เมื่อชาร์จเต็มจะวิ่งได้ไกลสุด 514 กม.
มอเตอร์กำลังสูงสุด 534 แรงม้า
มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และมอเตอร์คู่ ช่วยให้ควบคุมการทรงตัวได้ดีเยี่ยม
มีระบบ Autopilot ช่วยในการขับขี่แบบอัตโนมัติ และมี Tesla Vision ตรวจจับรถยนต์ใกล้เคียง ช่วยป้องกันการเฉี่ยวชน จึงมั่นใจได้ว่า แม้จะเลือกโหมดขับอัตโนมัติ ก็จะปลอดภัยได้ไม่ต่างจากขับเอง
อ่านเพิ่มเติม: ไขข้อสงสัย รถยนต์ไฟฟ้า ชาร์จไฟตอนฝนตกได้ไหม?
รูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยว ทันสมัย ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ในสไตล์ CUV (Crossover Utility Vehicle) ที่เป็นลูกผสมระหว่างรถเก๋ง และ SUV
มีความปลอดภัยสูงตามมาตรฐานเทสล่า คือ จุดศูนย์ถ่วงต่ำ โครงสร้างตัวรถแข็งแรง และมีส่วนดูดซับแรงกระแทกขนาดใหญ่ ทำให้ป้องกันอุบัติเหตุได้ดี
ห้องโดยสารขนาดใหญ่ รองรับผู้โดยสารได้ 5 คน พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีความยืดหยุ่นสูง ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
รับประกันรถ 4 ปี หรือ 80,000 กม. (แล้วแต่ว่าสิ่งใดจะถึงก่อน) และรับประกันแบตเตอรี่และชุดขับเคลื่อน 8 ปี หรือ 192,000 กม. (แล้วแต่ว่าสิ่งใดจะถึงก่อน)
2. รถ EV BYD Dolphin รุ่น Extended Range
BYD Dolphin รุ่น Extended Range หรือที่ใครหลายคนเรียกกันติดปากว่า “น้องโลมา” ผลิตโดยบริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จํากัด โดดเด่นด้วยการเป็นรถ EV ที่ราคาจับต้องได้ คือ เริ่มต้นเพียง 859,999 บาทเท่านั้น
อีกทั้งยังโดดเด่นด้านฟังก์ชันการใช้งาน ที่คุ้มค่าสมราคา เช่น
อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 7 วินาที
ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
แบตเตอรี่ความจุ 60.48 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เมื่อชาร์จเต็มจะวิ่งได้ไกลสุด 490 กม.
มอเตอร์กำลังสูงสุด 204 แรงม้า
เทคโนโลยี BLADE BATTERY แบตเตอรี่ชาร์จไว ความปลอดภัยสูง
ห้องโดยสารกว้างขวาง รองรับผู้โดยสารได้มากถึง 5 ที่นั่ง
ระบบกรองอากาศ PM 2.5 มั่นใจได้ว่าอากาศภายในห้องโดยสารจะปลอดภัย
สะดวกกว่า ด้วยคีย์การ์ดแบบพกพา (Keyless Card) แทนการใช้กุญแจรถแบบเดิมๆ
รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
3. รถ EV ORA Good Cat GT
น้องแมว หรือ ORA Good Cat จากค่าย GWM ก็เป็นรถอีกแบรนด์ที่ได้รับความนิยมพอๆ กับ BYD Dolphin โดยรุ่นที่มาแรงสุดๆ คือ “ORA Good Cat GT” เพราะหลังจากที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคม ก็มียอดจองเต็ม 500 คัน ภายในเวลาแค่ 58 นาที
อ่านเพิ่มเติม: ฝนตกหนักแบบนี้ รถ EV ขับลุยน้ำได้ไหม?
ORA Good Cat GT มีรูปลักษณ์สไตล์สปอร์ต ใกล้เคียงกับรถแบรนด์ดังจากอังกฤษ แต่ราคาน่ารักกว่า และมีฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์คนใช้รถไฟฟ้าได้มากกว่า เช่น
มอเตอร์กำลังสูงสุด 171 แรงม้า
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.5 วินาที
ชาร์จแบบ AC จาก 0-100% ใช้เวลา 10 ชั่วโมง ชาร์จแบบ DC Fast Charge จาก 30-80% ใช้เวลา 40 นาที การชาร์จเต็มหนึ่งครั้งวิ่งได้เต็มที่ 500 กม.
เบาะนั่งคนขับและเบาะผู้โดยสารด้านหน้า มีระบบปรับไฟฟ้า พร้อมระบบระบายอากาศที่นั่ง และระบบนวด
ระบบต่างๆ ภายในรถ เช่น แอร์ จีพีเอส หลังคาซันรูฟ ฯลฯ รองรับระบบคำสั่งเสียงได้
มีระบบช่วยขับเคลื่อนอัจฉริยะ เช่น ระบบช่วยจอดรถ ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เป็นต้น
เชื่อมต่อการทำงานของรถเข้ากับแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือได้ เช่น ระบบค้นหาตำแหน่งรถ ระบบจัดการการชาร์จ ระบบตรวจสอบลมยาง เป็นต้น ช่วยให้การควบคุมรถเป็นเรื่องง่ายขึ้น
รับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
4. รถ EV MG ZS EV
ใครที่กำลังมองหารถ EV หรือรถไฟฟ้า สไตล์ SUV อยู่ MG ZS EV เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียว เพราะนอกจากรูปทรงจะใหญ่กว่า และมีพื้นที่ภายในรถใหญ่กว่ารถเก๋งทั่วไปแล้ว ยังมาพร้อมความพิเศษอีกมากมาย ที่รับรองว่าถูกใจคนชอบรถ EV ไซซ์ใหญ่แบบนี้แน่นอน
ขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 177 แรงม้า
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.6 วินาที
ความจุแบตเตอรี่ 50.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ขับได้ไกลถึง 403 กม.
อ่านเพิ่มเติม: รถ EV ชาร์จไฟแบบ AC หรือ DC แบบไหนดีกว่ากัน
รองรับการชาร์จ 2 รูปแบบ คือ การชาร์จเร็ว (Quick Charge) ชาร์จจาก 30-80 % ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และชาร์จแบบธรรมดา ผ่าน MG Home Charger 0-100 % ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที
มี 20 ระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
มีระบบ i-SMART เชื่อมต่อการใช้งาน และการสั่งการระบบต่างๆ ของรถ ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือได้
มีเครือข่ายสถานีชาร์จรถไฟฟ้าทั่วประเทศ มากเป็นอันดับต้นๆ ของแบรนด์รถไฟฟ้าที่มีในไทย
มีบริการช่วยเหลือเรื่องค่าบำรุงรักษาตามระยะทางตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
เมื่อรู้ข้อมูลรถ EV 4 รุ่นยอดฮิตในไทยกันไปแล้ว อีกเรื่องที่คนอยากใช้รถไฟฟ้า 100% ควรหาข้อมูลไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ คือ ประกันรถ EV เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจ และความปลอดภัยให้คุณตลอดการขับขี่
สิ่งสําคัญที่ควรรู้
เงื่อนไขความคุ้มครองของประกันรถ EV เพื่อเลือกแผนประกันให้สอดคล้องกับความต้องการ เพราะถึงแม้จะเป็นประกันรถประเภทเดียวกัน แต่ถ้ามาจากต่างบริษัท เงื่อนไขบางอย่างก็อาจต่างกันไปด้วย
ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน เพื่อป้องกันการโดนลอยแพหลังจากที่จะจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันไปแล้ว
ความมืออาชีพของโบรกเกอร์ หรือตัวแทนประกัน เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อเกิดข้อสงสัยระหว่างการทำประกัน หรือเกิดอุบัติเหตุ จะมีคนช่วยเหลือ และให้คำแนะนำได้อย่างครบถ้วน
เตรียมพร้อมเรื่องราคาค่าเบี้ยประกัน ที่มักจะแพงกว่าประกันรถยนต์ทั่วไป 20-30%
อ่านเพิ่มเติม: 4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป
5 เหตุผลที่ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป
1. ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อรถ EV เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะกับอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบกับแบตเตอรี่ จะไม่สามารถซ่อมแซมเฉพาะจุดได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ยกชุด เพราะแบตถือเป็นหัวใจสำคัญของรถไฟฟ้า ถ้าแบตชำรุดเสียหาย ก็จะทำให้ส่วนอื่นๆ เสียหายตามไปด้วย
2. คนไทยยังใช้รถ EV น้อยมาก ทำให้บริษัทประกันมีกรณีศึกษาที่ใช้ในการกำหนดค่าเบี้ยประกันรถ EV น้อย
3. ค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถ EV ค่อนข้างแพง เพราะศูนย์บริการและช่างซ่อมที่มีความชำนาญในด้านนี้ยังมีน้อย
4. รถ EV หาอะไหล่ยาก ต้องสั่งผลิตใหม่ หรือนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น
5. บริษัทที่รับทำประกันรถ EV ยังมีไม่เยอะ ดังนั้นเมื่อตัวเลือกน้อย แต่คนต้องการเยอะขึ้นเรื่อยๆ ราคาก็มักจะสูงเป็นธรรมดา
6. เป็นยังไงกันบ้าง กับรถ EV 4 รุ่นน่าใช้ในไทย ฉบับอัปเดต 2023 ที่นำมาฝากกันในครั้งนี้ ใช่รุ่นรถที่คุณกำลังมองอยู่หรือเปล่า?
แต่ไม่ว่าสุดท้ายคุณจะตัดสินใจเลือกซื้อรถ EV รุ่นไหน ถ้าอยากขับขี่แบบมั่นใจ และไม่หวั่นแม้จะเกิดอุบัติเหตุ ก็อย่าลืมทำประกันรถ EV เพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้รถ ตัวคุณ คนที่คุณรัก และเพื่อนร่วมถนน