รู้ก่อนซื้อรถ EV จะต้องเตรียมอะไรบ้าง?
กระแสใช้รถ EV ที่มาแรงมากในช่วงนี้ ทำให้ใครหลายคนหันมาสนใจ และซื้อรถประเภทนี้กันมากขึ้น ซึ่งบางคนก็มีความสุขดีกับการใช้รถ EV แต่ก็มีบางคนที่เมื่อซื้อรถแล้ว เจอปัญหาตามมามากมาย
เช่น ค่าซ่อมแพง อะไหล่หายาก เบี้ยประกันสูง ฯลฯ จนทำให้รู้สึกว่าการซื้อรถ EV ไม่คุ้มค่า ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันได้ ด้วยการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนซื้อรถ
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังจะซื้อรถ EV สักคัน และอยากรู้ว่าต้องเตรียมพร้อมเรื่องอะไรบ้าง? ถึงจะดีกับการใช้รถ EV มากที่สุด SMILE INSURE ชวนมาอ่านบทความนี้
1. เตรียมข้อมูลรถ EV ที่สนใจ
เรื่องแรกคือ การเตรียมข้อมูลรถ EV ที่สนใจ ในหลายๆ รุ่น หลายๆ แบรนด์ และนำมาเปรียบเทียบกันในด้านต่างๆ เช่น ความจุแบตเตอรี่ สมรรถนะรถ ดีไซน์ จำนวนศูนย์บริการ รีวิวบริการหลังการขาย ขนาดรถ ราคา ดอกเบี้ย งวดผ่อน เป็นต้น
เพื่อเลือกรถที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และความต้องการของผู้ขับขี่มากที่สุด
อ่านเพิ่มเติม: ฝนตกหนักแบบนี้ รถ EV ขับลุยน้ำได้ไหม?
เช่น มีสมาชิกในครอบครัว 5 คน และชอบเดินทางท่องเที่ยวบ่อย อาจมองเป็นรถ EV อเนกประสงค์ หรือรถตู้ จะเหมาะกว่ารถเก๋ง เพราะมีขนาดใหญ่กว่า และมีพื้นที่เก็บสัมภาระมากกว่า เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบก่อนซื้อ รถไฟฟ้า vs รถน้ำมัน เลือกอะไรดี?
เมื่อมีตัวเลือกรถที่ถูกใจแล้ว ก็อย่ารีบตัดสินใจซื้อ จนกว่าจะได้ไปเห็นรถจริงที่โชว์รูม และทดลองขับ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณเห็นภาพชัดมากขึ้น ว่ารถ EV คันนั้นๆ เหมาะกับตัวเองจริงหรือไม่
2. เตรียมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นกับรถ EV
หลังจากที่เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับรถ EV ที่สนใจแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มเติมคือ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถ EV นอกเหนือจากค่าผ่อนรถ ที่ต้องจ่ายเป็นประจำทุกปี ได้แก่ ค่าภาษี ค่าพ.ร.บ. ค่าตรวจสภาพรถ และค่าบำรุงรักษา เพื่อวางแผนเก็บเงิน และการใช้เงินในอนาคตให้เหมาะสม
อ่านเพิ่มเติม: จริงหรือไม่? รถ EV ขับลุยน้ำได้ดีกว่ารถยนต์ทั่วไป
แต่ส่วนใหญ่แล้ว รถ EV มือหนึ่งป้ายแดง มักจะมีโปรโมชันตรวจสภาพรถ หรือบำรุงรักษาฟรี ผู้ที่ต้องการซื้อรถ EV สามารถสอบถามข้อมูลเหล่านี้กับบริษัทรถ แล้วนำมาเป็นหนึ่งในปัจจัยประกอบการตัดสินใจซื้อรถได้ เพราะจะช่วยให้คุณประหยัดได้มากขึ้น
3. เตรียมระบบไฟฟ้าในบ้านให้พร้อม
นอกจากนั้น ควรเตรียมระบบไฟฟ้าภายในบ้านให้พร้อมด้วย เพื่อติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้า (EV Charger) ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะถ้าไฟตก ไฟกระชาก ไฟช็อต หรือไฟฟ้าลัดวงจร จะทำให้รถพังเสียหายได้
โดยสิ่งที่ควรตรวจเช็กก่อนติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้า ได้แก่ ขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้า ตู้ควบคุมไฟฟ้า สายไฟฟ้าสายเมนที่นำกระแสไฟเข้าบ้าน รวมถึงส่วนประกอบต่างๆ ของอุปกรณ์ชาร์จไฟที่จะนำมาติดตั้ง
เพื่อดูความเหมาะสมในการทำงานร่วมกัน หากพบว่าอุปกรณ์ไม่เหมาะสม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ อย่างเช่นหน่วยงานการไฟฟ้าในพื้นที่ เพื่อหาทางแก้ไข
ส่วนใหญ่ มิเตอร์ไฟฟ้าบ้านทั่วไปมักจะเป็น Single-Phase 15(45)A ไม่เพียงพอกับการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้ารถ EV ถ้าฝืนใช้ จะทำให้กำลังไฟไม่เพียงพอ และมีโอกาสที่ระบบไฟฟ้าภายในบ้านจะขัดข้อง จนเกิดเหตุการณ์อันตรายได้
4. เตรียมข้อมูลสถานีชาร์จไฟฟ้า
คนใช้รถ EV อาจจะไม่ได้ชาร์จที่บ้านเสมอไป ดังนั้นนอกจากจะเตรียมระบบไฟฟ้าที่บ้านให้พร้อมแล้ว ยังควรเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสถานีชาร์จไฟฟ้าในละแวกใกล้เคียงบ้าน คอนโด ที่ทำงาน หรือสถานที่อื่นๆ ที่มักจะเดินทางไปประจำด้วย เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในอนาคต
เช่น รถติดจนกลับไปชาร์จไฟที่บ้านไม่ทัน เครื่องชาร์จไฟที่บ้านพัง สถานีชาร์จไฟแถวบ้านโดนจองคิวเต็มทุกช่องชาร์จ เป็นต้น
สำหรับจุดชาร์จรถไฟฟ้าในกรุงเทพและปริมณฑล มีผู้ให้บริการอยู่หลายเจ้า สามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวก เช่น
MEA EV Charging Station ของการไฟฟ้านครหลวง (ค้นหาที่ตั้ง และจองคิวผ่านแอป MEA EV)
PEA VOLTA ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ค้นหาที่ตั้ง และจองคิวผ่านแอป PEA VOLTA)
EleX by EGAT ของไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (ค้นหาที่ตั้ง และจองคิวผ่านแอป EleX by EGAT)
PTT OR EV Staion PluZ ของปตท. (ค้นหาที่ตั้ง และจองคิวผ่านแอป EV Station PluZ)
สอบถามเพิ่มเติม ทักแชทมาได้เลยนะคะ
5. เตรียมทำประกันรถ EV
ไม่ว่าคุณจะใช้รถน้ำมัน หรือรถ EV “ประกันรถยนต์” ก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การทำประกันรถยนต์จะช่วยเพิ่มความคุ้มครองให้รถ และสร้างความมั่นใจในการขับขี่ให้กับตัวคุณเองได้เป็นอย่างดี
แต่สิ่งที่ควรรู้คือ “ประกันรถ EV” แพงกว่ารถทั่วไปประมาณ 20-30% โดยสาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า รถ EV แตกต่างจากรถน้ำมันในหลายด้าน ดังนี้
แบตเตอรี่รถ EV ใหญ่กว่าและแพงกว่ารถน้ำมัน
แบตเตอรี่รถ EV ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงาน ที่ส่งกระแสไฟฟ้าไปยังส่วนประกอบต่างๆ ของรถ เปรียบเสมือนหัวใจของรถ แบตเตอรี่รถ EV จึงมีขนาดที่ใหญ่กว่าแบตเตอรี่รถยนต์ทั่วไปหลายเท่าตัว
อ่านเพิ่มเติม: ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง?
และถูกเชื่อมต่อเข้ากับส่วนประกอบสำคัญหลายอย่างของเครื่องยนต์ ดังนั้นเมื่อรถ EV เสีย หรือเกิดอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่แล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ยกชุด ในราคาหลายแสนบาท
คนไทยยังใช้รถ EV น้อย
สถิติยอดจดทะเบียนสะสมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยล่าสุด (ปี 2561-2565) บอกไว้ว่า เมื่อเทียบสัดส่วนรถ EV ทั้งหมด กับรถยนต์ทั่วไป จะมีรถ EV เพียง 1:800 เท่านั้น ทำให้บริษัทประกันไม่มีกรณีศึกษาและตัวเลขทางสถิติที่มากพอ เ
ลยอ้างอิงอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) จากต่างประเทศแทน ซึ่งมักจะระบุไว้ว่ารถ EV มี Loss Ratio สูงกว่ารถยนต์ทั่วไปถึง 30-40% เลยทำให้เบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถน้ำมันทั่วไป
ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงเพราะมีศูนย์บริการน้อย
ทุกวันนี้ ศูนย์บริการ หรือศูนย์ซ่อมเฉพาะทางของรถ EV ยังมีน้อยมาก รวมถึงช่างที่มีความชำนาญเรื่องรถ EV ก็ยังมีน้อยมากเหมือนกัน ทำให้ราคาค่าซ่อมรถค่อนข้างแพง และเพื่อแบกรับความเสี่ยงตรงนี้ บริษัทประกันเลยต้องตั้งราคาค่าเบี้ยให้แพงขึ้น
รถ EV หาอะไหล่ยาก
เมื่อมีศูนย์บริการน้อย ปัญหาที่ตามมาคือ รถ EV มักจะหาอะไหล่ได้ยาก อีกทั้งอะไหล่ยังมีราคาแพง เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
มีบริษัทที่รับทำประกันรถ EV ไม่เยอะ
บริษัทประกันที่รับทำประกันรถ EV ยังมีอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับรถยนต์น้ำมันทั่วไป จึงทำให้ไม่เกิดการแข่งขันทางด้านราคา รวมทั้งในตอนนี้ยังมีให้เลือกซื้อได้แค่ประกันชั้น 1 และ 2+ เท่านั้น ราคาค่าเบี้ยเลยแพงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ถึงแม้ว่าเบี้ยประกันรถ EV จะแพงกว่ารถน้ำมัน แต่ความคุ้มครองก็คุ้มค่า เพราะครอบคลุมรอบด้านไม่ต่างจากประกันรถทั่วไป เพียงแต่มีทุนประกันที่สูงกว่า
ซึ่งการเตรียมพร้อมเรื่องประกันรถ EV ก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เพราะสามารถซื้อประกันออนไลน์จากโบรกเกอร์ชั้นนำ ได้จากทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง