บทความ | สาระประกันภัย

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป
19/04/2023  สาระประกันภัย

ในยุคที่เทรนด์รักษ์โลกกำลังมาแรง บวกกับค่าน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนโยบายส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ ได้ทำให้ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คนไทยจำนวนมากหันมาซื้อรถไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) กันมากขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยมลพิษในสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประหยัดรายจ่ายจากการเติมน้ำมันและการซ่อมบำรุงในระยะยาวด้วย

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถ EV จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในหลายๆ ด้าน แต่คนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนตัดสินใจใช้รถประเภทนี้ ก็ควรต้องเผื่อค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นไว้ด้วย โดยเฉพาะกับเรื่องประกันภัยรถยนต์ เพราะค่าเบี้ยประกันรถ EV นั้นแพงกว่ารถยนต์สันดาปน้ำมันมากพอสมควร

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? อะไรที่ทำให้เบี้ยประกันรถยนต์ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป? เราชวนมาหาเหตุผลไปพร้อมกันกับบทความนี้เลย 

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE

1. ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงเพราะแบตเตอรี่

รู้หรือไม่? เหตุผลสำคัญที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพง เป็นเพราะลักษณะพิเศษของแบตเตอรี่รถ EV 

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นรถ EV หรือรถยนต์ใช้น้ำมัน ก็จะมี “แบตเตอรี่” เป็นส่วนประกอบของเครื่องยนต์เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างออกไป และเชื่อว่าบางคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน คือ แบตเตอรี่ของรถยนต์สันดาปน้ำมันจะมีขนาดเล็ก ถอดเปลี่ยนได้ง่ายๆ เพราะใช้ผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้าไปใช้กับบางส่วนของรถเท่านั้น 

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


ขณะที่แบตเตอรี่ของรถไฟฟ้า EV ที่เปรียบได้กับหัวใจของรถประเภทนี้ จะมีขนาดใหญ่มาก เพราะเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานที่ใช้หมุนเวียนในทุกระบบ และถูกเชื่อมต่อเข้ากับส่วนประกอบสำคัญหลายอย่างของเครื่องยนต์ ดังนั้นเมื่อรถ EV เสีย หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา

ส่วนใหญ่แล้ว ช่างหรือศูนย์บริการจะแนะนำให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ยกชุด หรือที่เรียกกันว่า “ยกเครื่องใหม่” แทนการซ่อมแซมเฉพาะจุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก 


4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


โดยราคาในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ยกชุด ขึ้นอยู่กับความจุของแบต แต่ส่วนใหญ่จะมีราคาเป็นครึ่งหนึ่งของราคาขายของรถคันนั้นเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น ข่าวดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว เมื่อรถ EV คันหนึ่ง ที่ราคาขายเริ่มต้นเกือบ 1 ล้านบาท เกิดอุบัติเหตุขับรถคร่อมท่อนไม้ 
ซึ่งตัวรถไม่มีร่องรอยความเสียหายอะไร แต่ทางศูนย์บริการแจ้งว่าควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงถึง 540,000 บาท เพื่อความปลอดภัย เพราะท่อนไม้ชนใต้ท้องรถ ซึ่งเป็นบริเวณที่ติดตั้งแบตเตอรี่ไว้พอดี

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


เหตุผลนี้จึงทำให้บริษัทประกันภัยรถยนต์ จำเป็นต้องกำหนดค่าเบี้ยประกันรถ EV ไว้สูงกว่ารถยนต์ทั่วไปประมาณ 20-30% เพื่อให้วงเงินสามารถคุ้มครองความเสี่ยงได้ 


ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงเพราะคนไทยใช้รถ EV น้อย

เรื่องนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะปกติแล้วบริษัทประกันจะคำนวณต้นทุนค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์จากสถิติการเคลมกรณีต่างๆ ในอดีต แต่ปัจจุบันกลุ่มคนใช้รถ EV ยังถือว่าเป็นส่วนน้อย โดยอ้างอิงสถิติยอดจดทะเบียนสะสมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2561-2565 จากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และคปภ. ดังนี้

  • ยอดจดทะเบียนรถไฟฟ้า 100% (BEV) สะสม 32,081 คัน
  • ยอดจดทะเบียนรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) สะสม 42,415 คัน
  • ยอดจดทะเบียนรถไฮบริด (HEV) สะสมอยู่ที่ 259,812 คัน

        

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


โดยเมื่อเทียบสัดส่วนรถ EV ทั้งหมด กับรถยนต์ทั่วไป จะเห็นได้ว่ามีเพียง 1:800 หรือไม่ถึง 10% เท่านั้น ทำให้บริษัทประกันไม่มีกรณีศึกษาและตัวเลขทางสถิติที่มากพอ เลยต้องใช้การเทียบเคียงสถิติระหว่างรถ EV กับรถยนต์ทั่วไป และอ้างอิงอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) จากต่างประเทศแทน ซึ่งบอกไว้ว่ารถ EV มี Loss Ratio สูงกว่ารถยนต์ทั่วไปถึง 30-40%  

ทั้งหมดนี้เลยเป็นเหตุผลให้บริษัทประกันในไทย ต้องบริหารจัดการความเสี่ยงทั้งต่อบริษัทและลูกค้า ด้วยการตั้งราคาเบี้ยประกันรถ EV ให้สูงกว่ารถยนต์ทั่วไปนั่นเอง

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


2. ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงเพราะมีศูนย์บริการน้อย

อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพง คือรถไฟฟ้า EV เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศไทย ทั้งเรื่องระบบการทำงานของรถที่ไม่เหมือนรถยนต์ทั่วไป และโครงสร้างของรถที่อาจแตกต่างกันไปตามบริษัทผู้ผลิต ทำให้เวลาที่รถเกิดความผิดปกติ แม้เพียงเล็กน้อย ก็จำเป็นต้องนำรถเข้าซ่อมที่ศูนย์บริการเพื่อรถ EV 

โดยเฉพาะ เพราะจะมีช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบการทำงานของรถจริงๆ และมีเครื่องมือเฉพาะด้าน 

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


แต่ปัจจุบันศูนย์บริการรถ EV ในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ของบริษัทผู้ผลิตเอง หรือศูนย์บริการภายนอก ยังมีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับอู่รถยนต์ทั่วไป ทำให้ค่าใช้จ่ายเวลานำรถเข้าศูนย์บริการแต่ละครั้งจึงค่อนข้างสูง 
ดังนั้นค่าเบี้ยประกันรถจึงต้องสูงตามไปด้วย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเจ้าของรถ ในยามที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


3. ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงเพราะรถ EV หาอะไหล่ยาก

นอกจากนี้ การที่มีศูนย์บริการรถ EV ในประเทศน้อย ยังทำให้เกิดปัญหาตามมาได้อีก นั่นคือการหาอะไหล่รถได้ยากขึ้น เพราะคนใช้รถยังมีน้อย ศูนย์บริการน้อย แต่อะไหล่รถมีราคาแพง บางครั้งศูนย์บริการอาจไม่ได้เก็บสต๊อกอะไหล่ไว้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไปเป็นเท่าตัว 

ดังนั้นถ้าอยากให้ประกันรถ EV ช่วยแบ่งเบาความเสียหายให้ได้มากที่สุด บริษัทประกันจึงจำเป็นต้องคิดค่าเบี้ยประกันแพง เพื่อมอบความคุ้มค่าให้กับผู้ทำประกัน 

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


4. ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงเพราะมีบริษัทที่รับทำประกันอยู่จำกัด

เหตุผลสุดท้าย เป็นเหตุผลด้านกลไกการกำหนดราคาในตลาดประกันภัยรถยนต์ เพราะทุกวันนี้บริษัทประกันที่รับทำประกันรถ EV ยังมีอยู่แค่ไม่กี่เจ้า เลยยังไม่สามารถกำหนดขอบเขตเพดานด้านราคาได้ และยังไม่เกิดการแข่งขันด้านราคาเหมือนอย่างในตลาดประกันของรถยนต์ทั่วไป ราคาค่าเบี้ยประกันรถ EV เลยแพงอย่างที่เห็น

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


สำหรับราคาค่าเบี้ยประกันรถไฟฟ้า EV ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อรถ คลาสรถ ประเภทรถ ปีจดทะเบียน สภาพการใช้งานรถ ข้อมูลการดัดแปลงรถ การติดกล้องหน้ารถ ประวัติการเคลม ทุนประกัน เงื่อนไขความคุ้มครอง เป็นต้น แต่โดยรวมแล้ว ประกันชั้น 1 รถไฟฟ้า ราคา 20,000 บาทขึ้นไป

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


ตัวอย่าง 1 ประกันรถไฟฟ้าชั้น 1 ของรถ BMW 330e M Sport จดทะเบียนปี 2022 เป็นรถ EV ประเภทปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) สภาพรถดี ไม่เคยมีประวัติการเคลมมาก่อน เริ่มต้นที่ประมาณ 4x,000 บาท/ปี*

ตัวอย่าง 2 ประกันรถไฟฟ้าชั้น 1 ของรถ BYD ATTO 3 จดทะเบียนปี 2022 เป็นรถไฟฟ้า 100% (BEV) สภาพรถดี ไม่เคยมีประวัติการเคลมมาก่อน เริ่มต้นที่ประมาณ 3x,000 บาท/ปี*

*ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทประกันที่รับทำประกันให้รถ EV จะมีน้อย จนทำให้ราคาเบี้ยประกันรถ EV แพง แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถทำให้ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่า เหมาะสมกับค่าเบี้ย 
เพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลการประกอบกิจการประกันภัยอย่างคปภ. จะมีการหารือกับบริษัทประกัน เพื่อปรับเปลี่ยนเงื่อนไขความคุ้มครอง และราคาเบี้ยให้เหมาะสมอยู่เสมอ

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


เช่น กำหนดเงื่อนไขความคุ้มครอง กรณีแบตเตอรี่ได้รับความเสียหาย ต้องเปลี่ยนยกชุด ให้บริษัทประกัน จำกัดวงเงินวงเงินคุ้มครองแบตเตอรี่ ไม่เกิน 50% ของมูลค่าแบต หรือ เลือกความรับผิดชอบส่วนแรก ไม่เกิน 15% ของมูลค่าแบตฯ หรือ แบบร่วมกันจ่าย ที่ผู้เอาประกันร่วมรับผิดชอบความเสียหายไม่เกิน 15% เพื่อแลกกับการได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกัน 10-25% 

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


แม้ว่ารถ EV จะช่วยลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อม และลดรายจ่ายจากการเติมน้ำมันได้ แต่คนที่จะใช้รถประเภทนี้ต้องไม่ลืมว่า ค่าแบตเตอรี่ที่แพงมาก บวกกับลักษณะพิเศษของรถที่ถือว่ายังเป็นนวัตกรรมใหม่ในบ้านเรา หากรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ แค่เพียงนิดเดียว ก็อาจทำให้คุณแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว 

4 เหตุผลที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรถ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป | SMILE INSURE


ดังนั้นถ้าอยากเพิ่มความปลอดภัย และความมั่นใจในทุกการขับขี่ อย่าลืมทำประกันรถ EV เอาไว้ และทำต่อเนื่องทุกปี เพื่อเป็นตัวช่วยดีๆ ในการแบ่งเบาภาระยามฉุกเฉิน เพราะเบี้ยประกันที่แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป ย่อมมาพร้อมกับทุนประกัน และเงื่อนไขคุ้มครองที่มากกว่า ปรึกษาเรื่องประกันรถ EV คลิกเลย  SMILE INSURE 

ขอบคุณข้อมูลจาก

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ