5 ข้อควรระวัง! สําหรับมือใหม่หัดขับรถ EV
“รถยนต์ไฟฟ้า” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า รถ EV ปัจจุบันกลายมาเป็นรถที่คนเริ่มให้ความสนใจและซื้อมาขับใช้งานให้เห็นบนท้องถนนบ่อยขึ้น ซึ่งก็จะมีหลายยี่ห้อ หลายรุ่น
แต่ไม่ว่าจะเป็นรถแบบไหนก็มีข้อควรระวังในการขับขี่ที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เรามีคำแนะนำสําหรับมือใหม่ หัดขับรถ EV ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง? ที่ควรระวัง
เพื่อให้ขับรถ EV ได้อย่างปลอดภัยและสามารถใช้งานรถในระยะยาวได้แบบไร้กังวลว่ารถจะมีปัญหา
ขับรถ EV ต้องเช็คอะไรบ้าง?
1. ระยะทางในการขับขี่
เพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีระยะทางขับขี่ต่อ 1 การชาร์จที่จำกัด โดยระยะทางขับขี่ราวๆ 200
ถึง 600 กม. แล้วแต่รุ่นรถยนต์ และขนาดแบตเตอร์รี่ ทำให้ต้องวางแผนการเดินทางให้ดีและเตรียมหาพิกัดจุดชาร์จไว้ล่วงหน้า
2. เช็คปริมาณแบตเตอร์รี่ที่คงเหลือ
เป็นสิ่งที่ต้องตรวจสอบขณะขับขี่ แม้ว่าจะวางแผนการเดินทางมาแล้ว แต่ก็อย่าลืมดูปริมาณแบตเตอร์รี่ก่อนขับเสมอ
3. ตรวจสอบสถานีชาร์จรถไฟฟ้า
ว่ามีสถานีชาร์จที่ไหนบ้าง แม้ว่าจะมีที่ชาร์จรถ แต่ก็ควรมองหาสถานีชาร์จสำรองไว้ด้วย เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ เช่น ตู้ชาร์จเสีย หรือปิดให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม: ทำประกันชั้น 1 รถ EV คุ้มค่าแค่ไหน?
4. ตรวจสอบความร้อนของแบตเตอร์รี่
เพราะความร้อนจะเป็นตัวเร่งอายุการใช้งานของแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าให้สั้นลง
และส่งผลต่อการชาร์จแบตเตอร์รี่
5. การใช้คันเร่งของรถยนต์ไฟฟ้า
เพราะถ้าขับรถเร็วเกินไป ระบบระบายความร้อนของแบตเตอร์รี่จะไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน ส่งผลให้ไม่สามารถทำ DC Fast Charge ได้ถึงระดับความเร็วที่ควรเป็น เพราะฉะนั้นไม่ควรพยายามเหยียบคันเร่งถี่ๆ หรือขับรถเร็วเกินไปครับ
ข้อดีของรถ EV มีอะไรบ้าง คุ้มไหมถ้าตัดสินใจซื้อ?
1. ประหยัดค่าใช้จ่าย
เพราะค่าไฟฟ้าในการชาร์จรถ EV นั้นถูกกว่าค่าน้ำมันทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบค่าพลังงานเฉลี่ยของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน หรือดีเซล
จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ ลิตรละ 30-40 บาท ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ความแตกต่างกันตามประเภทของการชาร์จ
อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบก่อนซื้อ รถไฟฟ้า vs รถน้ำมัน เลือกอะไรดี?
- ชาร์จไฟบ้านผ่านมิเตอร์แบบ TOU ค่าพลังงานไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละประมาณ 2.6369 บาท/หน่วย
- ชาร์จแบบ DC Fast charge ตามสถานีชาร์จสาธารณะ มักจะมีค่าบริการอยู่ราวๆ 7.5 บาท/หน่วย
- ซึ่งไฟฟ้า 1 หน่วย จะสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าได้ระยะทางราว 4-7 กิโลเมตร/หน่วย เลยทีเดียว หากเปรียบเทียบค่าพลังงานต่อกิโลเมตรแล้ว พบว่ารถยนต์ไฟฟ้าประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า
- รถยนต์ไฟฟ้า มีต้นทุนค่าพลังงานในการเดินทางเริ่มต้นประมาณ 0.37 บาท/ 1 กิโลเมตร
- รถยนต์น้ำมัน มีต้นทุนค่าพลังงานในการเดินทางเริ่มต้นประมาณ 1.76 บาท/ 1 กิโลเมตร
2. รถ EV เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากเป็นรถที่ไม่ปล่อยมลพิษทางอากาศทำให้แม้ว่าจะเดินทางใกล้ หรือไกล ก็ยังสามารถชาร์จพลังงานจากสถานีชาร์จได้ง่าย หรือแม้แต่ยามคับขันแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากปลั๊กไฟธรรมดาได้ด้วยเช่นกัน แต่จะใช้เวลาการชาร์จที่ยาวนานกว่า
นอกจากนี้รถ EV ก็เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการที่มันไม่มีการคายไอเสียออกมานั่นเอง ทำให้มันสามารถใช้งานในสถานที่ปิดได้ และยังเป็นรถที่มีฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่
อ่านเพิ่มเติม: รู้ก่อนซื้อรถ EV จะต้องเตรียมอะไรบ้าง?
3. ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
รถยน EV เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดอากาศเสีย ซึ่งก็จะสอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และนโยบายลดโลกร้อนที่รัฐบาลหลายประเทศต่างให้การสนับสนุน
อ่านเพิ่มเติม: รถ EV ชาร์จไฟแบบ AC หรือ DC แบบไหนดีกว่ากัน
และด้วยเหตุผลนี้ส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศที่มีความต้องการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าให้มีเพิ่มขึ้น หรือตั้งเป้าให้มาทดแทนรถยนต์สันดาปแบบเดิม จึงมีมาตรการสนับสนุนจากทางภาครัฐอยู่หลากหลายรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า , สิทธิพิเศษทางภาษี หรือสิทธิพิเศษอื่นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
ข้อเสียของรถ EV
1. ใช้เวลาในการเติมพลังงานช้ากว่าการเติมน้ำมัน
การชาร์จแบตเตอรี่ที่ใช้เวลาในการเติมพลังงานช้ากว่าการเติมน้ำมันนับสิบเท่าถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ แม้ว่าปัจจุบันนี้เทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงจะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แต่สุดท้ายก็ยังช้ากว่าการเติมน้ำมันอยู่ดี
2. ข้อจำกัดด้านระยะทางในการขับขี่
ด้วยความจุของแบตเตอรี่และประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้า แม้เทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่จะถูกพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยระยะทางสำหรับผู้ชับรถไกลในบางพื้นที่อาจจะยังไม่สามารถหาจุดชาร์จไฟที่สะดวกเท่ากับรถน้ำมันได้
3. อู่ซ่อมรถ EV โดยเฉพาะมีน้อย
ทุกวันนี้มีอู่ซ่อมรถ EV โดยเฉพาะยังมีน้อยในประเทศไทยกรณีหากเกิดปัญหาขึ้นมาก็ต้องเข้าศูนย์บริการเท่านั้น
คำแนะนำในการใช้รถ EV
1. เรียนรู้วิธีใช้งานรถ EV
- ศึกษาลักษณะการทำงานของรถ EV
- เข้าใจระบบการชาร์จไฟ
- ฝึกฝนการใช้คันเร่งและเบรกอย่างเหมาะสม
- เรียนรู้วิธีใช้ระบบต่างๆ ภายในรถ
2. วางแผนการเดินทาง:
- ตรวจสอบสถานีชาร์จไฟก่อนออกเดินทาง
- วางแผนเส้นทางให้สอดคล้องกับระยะทางที่วิ่งได้
- เผื่อเวลาสำหรับการชาร์จไฟ
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นที่ช่วยค้นหาสถานีชาร์จไฟ
3. ขับขี่อย่างประหยัดพลังงาน
- รักษาความเร็วคงที่
- หลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องแบบกระทันหัน
- ใช้ระบบเบรกแบบ Regenerative Braking
- ปิดระบบที่ไม่จำเป็น เช่น ระบบปรับอากาศ
4. ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจเช็คสภาพรถตามระยะ
- ดูแลรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกวิธี
- เลือกใช้ยางรถยนต์ที่เหมาะสม
- ศึกษาวิธีการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
5. ระวังเรื่องความปลอดภัย
- ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง
- เผื่อระยะเบรกให้มากกว่ารถทั่วไป
- ระวังการลื่นไถลบนถนนเปียก
- ศึกษาวิธีการใช้ระบบความปลอดภัยต่างๆ ในรถ
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- ศึกษาข้อกำหนดและกฎหมายเกี่ยวกับรถ EV
- เลือกซื้อประกันภัยที่เหมาะสม
- เตรียมอุปกรณ์สำหรับกรณีฉุกเฉิน
- เรียนรู้วิธีการติดต่อขอความช่วยเหลือ
เนื่องจากรถ EV มีราคาสูงและค่าซ่อมที่แพงมาก ประกันรถ EV ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะการทำประกันจะช่วยคุ้มครองความเสียหายและคุ้มครองค่าซ่อมแซมรถของคุณกรณีเกิดอุบัติเหตุ Save ค่าใช้จ่ายให้ไม่บานปลาย
สนใจทำประกันรถ EV แนะนำที่ SMILE INSURE และยังสามารถผ่อน 0% ได้นานสูงสุด 10 เดือน