วิ่งทางไกล ขับรถอย่างไร? ให้ประหยัดน้ำมัน
ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้ จะขับรถไปไหนทั้งที่ก็ต้องคิดหนัก โดยเฉพาะกับการขับรถทางไกล ที่กว่าจะไปถึงจุดหมาย ก็ต้องจ่ายค่าน้ำมันไปมากกว่าหนึ่งพันบาท
หนทางที่จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ คงไม่พ้นการใช้รถให้น้อยลง หรือเลิกขับรถไปสักพัก
แต่ก็เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถแก้ไขปัญหาน้ำมันแพงด้วยการเลิกขับรถได้ เพราะมีคนอีกมากมายที่จำเป็นต้องขับรถทางไกลในชีวิตประจำวันอยู่บ่อยๆ
ทั้งเหตุผลในเรื่องการทำงาน การไปเที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาว หรือการเดินทางไปทำธุระสำคัญในต่างจังหวัด
วันนี้ SMILE INSURE จึงได้รวบรวม “7 เทคนิคขับรถทางไกลให้ประหยัดน้ำมัน” มาแบ่งปันกับทุกคน และหวังว่านี่จะเป็นตัวช่วยดีๆ ที่ทำให้คนขับรถทางไกล จ่ายค่าน้ำมันได้ถูกลงกว่าเดิม
1. ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ก่อนวิ่งทางไกล
ถ้าคุณมีแผนขับรถทางไกล อย่างแรกที่ควรทำเพื่อประหยัดน้ำมัน คือ ตรวจเช็กสภาพรถยนต์คันเก่งให้พร้อมใช้งาน เพราะการที่เครื่องยนต์และส่วนประกอบต่างๆ
ของรถ อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่พังเสียหาย และสะอาด ปราศจากคราบสกปรก จะช่วยให้รถทำงานได้ตามปกติ ไม่ใช้น้ำมันมากเกินจำเป็น
อ่านเพิ่มเติม: อุปกรณ์เสริมรถแบบไหน? ที่ประกันไม่คุ้มครอง!
โดยการตรวจเช็กสภาพรถยนต์เบื้องต้น สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
ตรวจเช็กรอยรั่วซึมของยางรถ และเติมลมยางให้ตรงตามมาตรฐาน ไม่น้อยหรือมากจนเกินไป เพราะถ้าลมยางอ่อนเกิน จะทำให้เกิดแรงเสียดทานมากขึ้น และทำให้รถต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าน้ำมันก็จะถูกดึงไปใช้มากขึ้นด้วย (ลมยางที่หายไปทุก 1 ปอนด์/ตารางนิ้ว จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 2%) และถ้าลมยางมากเกินไป จนทำให้ยางแข็ง ตึง กว่าปกติ ก็มีความเสี่ยงที่ยางจะระเบิด และทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
เช็กน้ำมันเครื่องให้อยู่ในสภาพปกติ คือ มีสีเหลืองอำพัน ไม่ดำ และไม่มีฝุ่น ตะกอน หรือสิ่งสกปรกเจือปน ถ้าเห็นว่าน้ำมันเครื่องเริ่มมีสีเปลี่ยนไป ก็ควรเปลี่ยนถ่ายให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง
เช็คระบบเบรก ถ้าเห็นว่าเบรกติดขัด หรือมีเสียงดัง ไม่ควรฝืนใช้ เพราะนอกจากจะทำให้เกิดอุบัติได้ง่ายๆ แล้ว ยังทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่าเดิม
สอบถามเพิ่มเติม ทักแชทมาได้เลยนะคะ
เช็กหัวเทียน และคอยล์จุดระเบิด ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
เช็กหม้อน้ำรถให้ไม่มีรอยรั่ว หรือสนิม เพื่อทำให้เครื่องยนต์ไม่เผาไหม้น้ำมันเร็วเกินไป
2. ศึกษาเส้นทางและวางแผนให้รอบคอบ
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รถยนต์ใช้น้ำมันมากขึ้น คือ “การหลงทาง” ดังนั้น ไม่ว่าคุณกำลังจะขับรถไปที่ไหน จะเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยหรือไม่ก็ตาม ควรศึกษาเส้นทางให้ละเอียด และวางแผนการเดินทางให้ดีก่อนออกเดินทางทุกครั้ง
เพราะถึงแม้จะเป็นสถานที่ที่เคยไปแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ไปบ่อย ก็มีสิทธิ์จำเส้นทางผิด และหลงทิศได้
อ่านเพิ่มเติม: รู้ก่อนซื้อ รถ Hybrid มีข้อดี-ข้อเสีย อะไรบ้าง?
ทั้งนี้ ควรศึกษาเส้นทางมากกว่า 1 เส้นทาง และหาข้อมูลสำคัญอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น เบอร์โทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน เบอร์คอลเซ็นเตอร์บริษัทประกันภัยรถ ปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด อู่ซ่อมรถ ร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง โรงแรม สถานีตำรวจ ข่าวสารการจราจร เป็นต้น
เพื่อวางแผนการเดินทาง และเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งในรูปแบบของอุบัติเหตุ รถเสีย และรถติด
3. ไม่บรรทุกของหนักเกินจำเป็น
เข้าใจดีว่าการเดินทางไกลในแต่ละครั้ง หลายคนต้องพกสัมภาระมากมายไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของกิน ของใช้ส่วนตัว โน้ตบุ๊ค ของฝาก สัตว์เลี้ยง จักรยาน ยางอะไหล่ หรือแม้แต่อุปกรณ์แคมป์ปิ้ง ด้วยความคิดที่ว่า ‘เหลือดีกว่าขาด’
แต่รู้หรือไม่!? การขนทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยแบบนี้ ทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น เพราะการบรรทุกของหนักขึ้นทุก 10 กก. ในระยะทาง 25 กม. จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันได้มากถึง 40 ซีชี ดังนั้น ถ้าคุณอยากประหยัดน้ำมัน ก็อย่าลืมเลือกแต่สิ่งของจำเป็นติดรถไปด้วยเท่านั้น
4. เร่งเครื่องและเบรกเท่าที่จำเป็น
ไม่ว่าจะเป็นจังหวะออกตัว หรือการขับขี่บนท้องถนนตามปกติทั่วไป ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น ก็ไม่ควรเร่งเครื่องแรงๆ และเบรกบ่อยเกินไป เพราะการเร่งเครื่องและเบรกบ่อยๆ
จะทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น อีกทั้งยังจะทำให้เครื่องยนต์พังไว และเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้นด้วย
สำหรับเทคนิคที่จะช่วยให้เร่งเครื่อง และเบรกได้อย่างเหมาะสม มีดังนี้
ขับรถอย่างมีสติ ไม่เหม่อลอย และไม่ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
รักษาระยะห่างจากคันหน้าอย่างเหมาะสม
หมั่นสังเกตสถานการณ์บนท้องถนน เพื่อจะได้หลบเลี่ยงเหตุอันตรายได้ทันท่วงที
5. ใช้ความเร็วคงที่
การขับขี่รถด้วยความเร็วคงที่ จะช่วยให้รถสามารถรักษาอัตราการเผาไหม้น้ำมันให้คงที่ได้ โดยความเร็วที่แนะนำขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องยนต์ ดังนี้
เครื่องยนต์เท่ากับหรือมากกว่า 2,000 ซีซี ควรใช้ความเร็วประมาณ 110 กม./ชม.
เครื่องยนต์น้อยกว่า 1,600 ซีซี ควรใช้ความเร็วประมาณ 80-90 กม./ชม.
แต่ถ้าในพื้นที่นั้นๆ มีป้ายกำกับความเร็วว่าให้ใช้ความเร็วเกินอัตราดังกล่าว ก็ควรปฏิบัติตามป้ายกำกับอย่างเคร่งครัด แล้วค่อยไปผ่อนความเร็วลงในเส้นทางอื่น
6. ใส่เกียร์ว่างเมื่อรถติด
เมื่อรถติดนานๆ บางคนอาจถนัดใช้วิธีเหยียบเบรก ขณะยังเข้าเกียร์ D (เดินหน้า) เพราะจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ให้วุ่นวาย แต่การกระทำแบบนี้ ทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าที่คิด เพราะการเหยียบเบรกค้างนานๆ
ก็ทำให้เปลืองน้ำมันไม่ต่างจากการเหยียบเบรกบ่อย ดังนั้น เมื่อเจอรถติดนานๆ ควรเปลี่ยนมาใส่เกียร์ N (เกียร์ว่าง) แทนเกียร์ D จะดีกว่า
อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบก่อนซื้อ รถไฟฟ้า vs รถน้ำมัน เลือกอะไรดี?
ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใส่เกียร์ P ด้วย เพราะเมื่อเกิดอุบัติโดนชนท้าย เกียร์ N จะช่วยซัพพอร์ตแรงกระแทกได้ดีกว่า เนื่องจากรถยังสามารถไหลไปข้างหน้าได้
แต่เกียร์ P คือการที่รถถูกล็อกให้นิ่งอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้ ถ้ารถมาชนท้าย อาจทำให้รถของคุณเสียหายหนัก
7. ดับเครื่องทุกครั้งเมื่อแวะพัก
สุดท้ายนี้ ถ้าจำเป็นต้องแวะพักตามจุดพักรถ หรือแวะซื้อของตามร้านข้างทาง แม้จะไม่ได้นานเป็นชั่วโมง แต่ก็ควรดับเครื่องให้สนิท อย่าจอดติดเครื่องทิ้งไว้
เพราะจะทำให้เปลืองน้ำมันโดยไม่จำเป็น และยังมีโอกาสเสี่ยงที่รถจะถูกโจรกรรมได้ง่ายๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม นอกจากเทคนิคขับรถทางไกลให้ประหยัดน้ำมันแล้ว อีกเรื่องที่คนขับรถทางไกลควรให้ความสำคัญด้วยเหมือนกัน คือ การทำประกันรถยนต์ เพราะจะเป็นตัวช่วยที่เพิ่มความมั่นใจในทุกเส้นทาง
โดยประกันรถยนต์ที่แนะนำ ได้แก่ “ประกันรถยนต์ชั้น 1” เพราะให้ความคุ้มครองครอบคลุมรอบด้านมากที่สุด เมื่อเทียบกับประกันชั้นอื่น ทำประกันชั้น1 ก่อนขับรถทางไกลกับ SMILE INSURE ได้แล้ววันนี้