ไฟไหม้รถไม่รู้สาเหตุ ประกันรับผิดชอบไหม?

อุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่คาดคิด ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้ไม่เลือกที่ ไม่เลือกคน และไม่เลือกเวลา โดยส่วนใหญ่เราจะเห็นข่าวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยๆในบ้านเรา เช่น อุบัติเหตุรถยนต์ ไม่ว่าจะรถเฉี่ยว รถชนกัน รถชนคน สิ่งของ หรือสิ่งกีดขวางต่างๆ แต่ยังมีอุบัติเหตุทางรถอีกรูปแบบนึงที่คนส่วนใหญ่ไม่คาดคิดมาก่อน เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ได้เตรียมความพร้อมในการรับมือ คือ ไฟไหม้รถยนต์ อ้าว! แล้วถ้าเกิดขึ้นกับเราล่ะ ประกันที่เรามีจะคุ้มครองรึเปล่า?

วันนี้เรามีคำตอบ มาคลายข้อสงสัยให้คุณกันค่ะ ก่อนอื่น เรามาเรียนรู้วิธีรับมือเบื้องต้น หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ไฟไหม้รถยนต์กันก่อน หากเกิดเหตุไฟไหม้หรือมีสัญญาณให้ชวนสงสัยว่าจะเกิดไฟไหม้กับรถของคุณ เช่น ได้กลิ่นเหม็นน้ำมัน มีควันออกมาจากเครื่องยนต์ หรือสัญญาณเตือนอื่นๆ ขณะที่คุณกำลังขับรถ

ขั้นตอนแรกคือต้องตั้งสติให้ดี ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป และรีบหาที่จอดรถที่ปลอดภัย ดับเครื่องยนต์เพื่อตัดระบบการทำงานของรถยนต์ทันที 

ถ้าบนรถของคุณมีถังดับเพลิง ให้คุณค่อยๆ แง้มฝากระโปรงรถ ห้าม!! เปิดฝากระโปรงรถจนหมดเด็ดขาด เพราะจะทำให้ไฟลุกลามได้เร็วขึ้น และค่อยๆ ใช้ถังดับเพลิงเคมีฉีดพ่นเข้าไปทางช่องกระโปรงรถที่แง้มไว้ เมื่อไฟเริ่มสงบลง อย่าใช้มือเปิดฝากระโปรงรถโดยตรง ให้ใช้ถุงมือหรือหากไม่มี ให้หาผ้ารองมือแทน เพื่อกันความร้อนที่ฝากระโปรงรถลวกมือ และฉีดพ่นเคมีดับเพลิงให้ทั่วห้องเครื่องจนมั่นใจว่าไฟดับสนิทแล้วจริงๆ จึงค่อยถอดขั้วแบตเตอรี่ออกป้องกันไฟประทุขึ้นมาอีก

เเต่ถ้าคุณที่ไม่มีถังดับเพลิง ให้ตั้งสติ จอดรถในที่ปลอดภัยเช่นกัน แต่ให้พยายามขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทาง หรือโทรหาศูนย์รับแจ้งเรื่องดับเพลิง 199 หรือสายด่วนนิรภัย 1784 เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเหลือ

ขั้นตอนต่อไปถึงเวลาที่เราต้องมาตรวจเช็คประกันภัยรถยนต์ที่เรามีแล้วว่าคุ้มครองด้วยรึเปล่า? 

• หากเรามีประกันรถยนต์ประเภท 1 ประเภท 2+ และ 2 ก็มั่นใจได้เลยเพราะคุ้มครองเกี่ยวกับไฟไหม้อยู่แล้ว สบายใจได้ แต่อาจจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไปของกรมธรรม์
  อีกอย่างคือ รถติดแก๊ส ไม่ว่าจะเป็น LPG และ NGV ต้องแจ้งบริษัทประกันภัยตั้งแต่ตอนทำประกัน แจ้งกรมการขนส่งเรื่องการติดตั้ง และที่สำคัญคือต้องติดตั้งถังแก๊สที่ได้รับมาตรฐานคุณภาพ มอก. และต้องส่งเอกสารยืนยันการติดตั้งแก๊สให้บริษัทประกันด้วย ส่วนการรับผิดชอบของแบบประกันภัยนั้นก็ต่างกันออกไป
  
  

แบบประกันภัยประเภท 1 จะรับผิดชอบทุกกรณีอยู่แล้ว ประกันรถยนต์ประเภท 2+ และ 2 จะมีการแบ่งการชดใช้ออกเป็น 2 กรณี ซึ่งคุณต้องตรวจสอบตัวเองและรถยนต์ของคุณว่าอยู่ในกรณีไหน

• กรณีรถยนต์เสียหายสิ้นเชิง คือ รถยนต์เสียหายพังยับจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ หรือค่าซ่อมแซมรถของคุณมีค่า 70% ของมูลค่าตลาดของรถของคุณ บริษัทประกันรถยนต์จะถือว่ารถของคุณ “พังยับ” ถ้ามีประกันรถยนต์ชั้น 1  บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าเสียหายเต็มจำนวน 100% ของทุนประกันที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งทุนประกันจะสูงสุดไม่เกิน 80% ของราคาตลาดกลางรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ หากเป็นรถยนต์ใหม่ ส่วนทุนประกันในปีต่อไปจะถูกลดลงตามค่าความเสื่อมราคาปีละ 10%
  ถ้าคุณมีประกันชั้น 2+ และ 2 จะอยู่ที่ 100,000 บาท ถึงสูงสุด 500,000 บาท ทั้งนี้เราต้องตรวจสอบกับบริษัทประกันภัยของเราด้วยนะ ว่าเงื่อนไขในกรมธรรม์เป็นแบบไหน แต่ละบริษัทก็จะแตกต่างกันออกไป
  
  
• กรณีรถยนต์ได้รับความเสียหายบางส่วน บริษัทประกันภัยอาจเลือกซ่อมรถ เปลี่ยนรถยนต์ให้กลับมามีสภาพเดิมได้ หรือจะเลือกชดใช้เงินเพื่อทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับเจ้าของรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุตกลงกันกับบริษัทประกันภัย
  
  

เห็นไหมล่ะ การมีประกันภัยดีๆ ต่อให้เราไปเจออุบัติเหตุรถยนต์ที่ร้ายแรง หรือทำให้เกิดความเสียหายกับเรามากแค่ไหน ถึงแม้ว่ารถจะพังจนใช้งานไม่ได้ หรือต้องส่งซ่อมวุ่นวายแค่ไหน แต่เราก็ยังมีความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัยที่ช่วยให้เราอุ่นใจ แถมไม่เบียดเบียนเงินในกระเป๋าให้เราต้องทุกข์ใจอีกด้วยนะ