ห้ามพลาด! เทคนิคการใช้งานเกียร์ 4 ล้อ
ห้ามพลาด! เทคนิคการใช้งานเกียร์ 4 ล้อ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หนึ่งในกลยุทธ์ที่ค่ายรถต่างๆ ออกแบบมาคู่กับรถกระบะของตัวเองในแต่ละรุ่น บางท่านก็อาจจะเคยใช้ระบบนี้ในการขับขี่อยู่บ้าง บางท่านตั้งแต่ซื้อรถมาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนี้ ทำงานอย่างไร? และมีไว้เพื่ออะไร? แล้วช่วงเวลาไหนของการขับขี่ที่เราควรใช้ระบบนี้ วันนี้เราจะมาดูกัน!
เทคนิคการใช้งานเกียร์ 4 ล้อ อย่างแรกที่เพื่อนๆ ต้องทำความเข้าใจเลยก็คือ ปกติในรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4x4 ถ้าอยู่ในรูปแบบการขับขี่ปกติ รถจะมีการขับเคลื่อนเพียง 2 ล้อด้านหลังเท่านั้น ไม่ใช่ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ล้อหน้าจะหมุนตามแรงผลักของตัวรถตามปกติ แต่เมื่อไหร่ที่เราต้องการใช้ระบบนี้จะต้องมีการสั่งการ ส่วนใหญ่ที่นิยมออกแบบมาก็คือในรูปแบบ
- แบบก้านเกียร์ ซึ่งจะแยกออกมาจากก้านเกียร์ปกติออกมา
- แบบปุ่มหมุน เพื่อเพิ่มความง่ายในการเปลี่ยนเกียร์กว่าแบบก้าน
ในการใช้งานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนี้ ไม่นิยมใช้เมื่อขับขี่ในเมือง หรือบนภาวะถนนหนทางแบบธรรมดา ไม่แฉะ หรือลื่น ส่วนใหญ่เป็นทางตรงตลอดไม่ได้มีการปีนป่าย คดเคี้ยวของถนน หรืออยากใช้ความเร็ว ควรใช้งานระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ อีกอย่างที่ต้องทำความเข้าใจคือ ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ จะส่งกำลังเดินทางไปยังล้อหลัง 100% รถยนต์ขับข้างหลัง กับล้อหน้า 100% รถยนต์ขับหน้าซึ่งจะทำให้ประหยัดน้ำมันมากกว่า แต่การเกาะถนนหนทางไม่เท่ากับระบบขับ 4 ล้อ เพราะล้อทั้งยัง 4 ล้อถูกเคลื่อนไปพร้อม เพื่อให้มีกำลังที่สมดุลกัน แต่ในกรณีที่เจอถนนหนทางแฉะลื่น ฝนตกหนัก มองทางยาก ขึ้นเขา ทางชัน หรือมีโค้งมากมายที่จำต้องใช้ความเกาะถนนหนทางเป็นพิเศษ ควรจะเลือกใช้งานระบบขับ 4 ล้อ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบ่งออกเป็นกี่ระบบ?
ระบบขับเคลื่อน 4 แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ..
- ระบบ 4H เหมาะสมแก่การใช้แรงงานในทางลูกรังบนถนนหนทางที่แฉะ ลื่น หรือทางทุรกันดานซึ่งสามารถใช้ความเร็วได้ ซึ่งระบบจะสั่งให้กระจัดกระจายแรงบิดจากเครื่องจักรลงสู่ล้อทั้งยัง 4 ล้อที่เสมอกัน ในอัตราส่วนหน้า-ข้างหลัง 50:50 หรือบางค่ายอาจมีการแบ่งกำลังที่ 40:60 ตามแต่เหตุการณ์ รวมทั้งการออกแบบระบบนั้นๆ การเปลี่ยนเกียร์ สามารถเปลี่ยนขณะจอด หรือรถวิ่งอยู่ก็ได้ เพียงถอนคันเร่ง และอยู่ในความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าเป็นแบบก้าน ให้โยกก้านไปในตำแหน่งที่ระบุว่า 4H และถ้าเป็นแบบหมุน ก็ให้หมุนไปที่ตำแหน่ง 4H ได้เลยทันที สิ่งที่ควรระมัดระวังคือวงเลี้ยวของรถจะกว้างมากกว่าปกติ รวมทั้งยังมีอัตราการใช้น้ำมันมากกว่าปกติ
- ระบบ 4L เหมาะแก่การขับขี่ในเส้นทางออฟโรด ลุยๆ ไม่ว่าจะเป็นการปีนมางชัน, การฝ่าโคลน, การปีนทางชัน (ขึ้นไปบน-ลงจากเขา) การลุยน้ำ หรือเส้นทางที่จำเป็นต้องใช้แรงบิด ปีนไต่ทางชันได้มาก ทำให้รถสามารถลุยไปในเส้นทางแบบนี้ได้ดีกว่าเดิม โดยห้ามใช้ความเร็วเกิน 30 กม./ชม. ใช้งานได้โดยจะต้องหยุดรถยนต์ให้นิ่งสนิท กับเข้าเกียร์ว่าง N ก่อน ก็เลยจะสามารถบิด หรือกดปุ่มควบคุมไปยังตำแหน่ง 4L ได้ โดยระบบจะไปเปลี่ยนแปลงอัตราทดเกียร์ แล้วก็เฟืองด้านหลัง ทำให้มีแรงบิดที่สูงขึ้น สามารถปีนและลุยไปได้ทุกที่
ในกรณีขับลุยน้ำ ควรใช้ความเร็วต่ำ ไม่ควรขับลงน้ำด้วยความเร็วจนน้ำดันขึ้นมาเหนือฝากระโปรง และควรระวังอย่าให้น้ำมีระดับที่สูงกว่ากรองอากาศ เพราะอาจเสี่ยงทำให้เครื่องดับได้และต้องใช้ความเร็วไม่มากด้วย!
หากว่ามีกรณีที่ต้องขับรถลุยน้ำแล้วเกิดติดล่ม ติดโคลน ควรถอยหลังออกก่อน แล้วจึงหักพวงมาลัยไปทางอื่นเพื่อสร้างเส้นทางใหม่ไม่ให้ซ้ำกับรอยเดิม และห้ามเร่งเครื่องยนต์จนถึงสุดกำลังโดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้รถยนต์จมลงในโคลนเพิ่มมากขึ้น เพราะการขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น ล้อทั้ง 4 จะทำงานพร้อมกันทั้งหมด
วิธีการใช้งาน 4L ที่ถูกจะต้องบังคับควบคุมแนวทางให้ดี ต้องมีความชำนาญในการขับขี่และการทรงตัวของรถด้วย เพราะแรงบิดของเกียร์ 4L จะพาตัวรถยนต์เคลื่อนอย่างช้าๆ ปีนไปตามสิ่งกีดขวางต่างๆ อย่างช้าๆ เรียกว่าฝ่าทุกอุปสรรค์ไปได้ง่ายๆ เลยล่ะ ถ้ามีบางจังหวะที่จำต้องเพิ่มคันเร่งช่วยก็ให้เพิ่มช้าๆ ห้ามเร่งเครื่องอย่างรวดเร็วในครั้งเดียวโดยเด็ดขาด!
สิ่งที่ต้องระวังในการใช้งานเกียร์ 4L คือไม่ควรใช้ความเร็วมากเพราะการสึกหรอจะสูง แนะนำที่ไม่เกิน 20 – 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยิ่งถ้าในช่วงเส้นทางขรุขระ หรือเป็นหลุมใหญ่ ถ้ามีการกดคันเร่งแรง อาจทำให้ล้อหมุนเร็วจนติดได้ และถ้าใช้เป็นเกียร์ธรรมดา ไม่ควรวางเท้าไว้บนคลัทซ์ เพราะอาจเผลอไปเหยียบจนรถเสียกำลังไปที่ล้อได้ อีกอย่างก็คือ ระบบนี้ใช้อัตราการใช้น้ำมันมากกว่าปกติ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรศึกษาการใช้งานให้ดีเพื่อความปลอดภัยในทุกสถาการณ์ของการขับขี่นะคะ แต่จะดีกว่าไหม? ถ้ามี SMILE INSURE เป็นเพื่อนร่วมทาง เราพร้อมให้คำปรึกษาและดูแลคุณได้อุ่นใจทุกการเดินทางค่ะ