น้ำท่วมมิดคัน! ประกันรถที่มีอยู่เคลมได้ไหม?
น้ำท่วมมิดคัน! ประกันรถที่มีอยู่เคลมได้ไหม?
เมื่อถึงคราวที่ต้องเจอสถานการณ์คับขันอย่างการเฝ้าระวังน้ำท่วมบ้าน สิ่งง่าย ๆ ที่เราพอจะทำได้เพื่อป้องกันทรัพย์สินเสียหาย คือยกของขึ้นที่สูงไว้ก่อน ซึ่งลำพังการยกของชิ้นเล็กนั้นคงไม่ใช่ปัญหา แต่การโยกย้ายของชิ้นใหญ่อย่าง “รถยนต์” อาจจะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที ยิ่งในช่วงเวลาที่น้ำมาล้อมรอบหมู่บ้านไว้แล้ว เพราะไม่รู้จะย้ายหนีไปทางไหน สุดท้ายจบลงที่ต้องปล่อยรถจมน้ำมิดคันไปแบบช่วยไม่ได้ แล้วค่อยมารอลุ้นอีกทีว่าประกันรถที่มีจะเคลมได้ไหม
ถ้าใครกำลังเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่ บทความนี้จะพาไปคลายความข้องใจกันว่าประกันรถแบบไหนที่จะคุ้มครองกรณีน้ำท่วมรถแบบมิดคันได้บ้าง
รู้จัก “น้ำท่วมมิดคัน” ในแง่ของประกันภัย
ส่วนใหญ่แล้วเกณฑ์ที่ใช้บอกถึงสถานการณ์น้ำท่วมมิดคันรถ คือการที่น้ำท่วมเข้าสู่ตัวห้องโดยสารจนสูงเกินคอนโซลหน้ารถขึ้นไป ซึ่งประกันจะประเมินได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
- น้ำท่วมรถมิดคันเป็นเวลานาน ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการใช้งานของรถอย่างหนัก จนไม่สามารถซ่อมให้กลับมาดีเหมือนเดิมได้ หรือดูแล้วว่าไม่น่าจะคุ้มกับค่าซ่อม บริษัทประกันจะประเมินว่าเป็นความเสียหายโดยสิ้นเชิง (Total Loss) และจะชดใช้สินไหมทดแทนไม่เกิน 70% - 80% ของมูลค่ารถยนต์ขณะเกิดความเสียหาย
- ถ้าน้ำท่วมมิดคันรถจริง แต่เป็นเวลาไม่นาน สร้างความเสียหายไม่เยอะ เช่น เครื่องไม่พังหนัก ราขึ้นตามเบาะ ห้องโดยสารมีร่องรอยความเสียหาย ฯลฯ ที่ดูแล้วว่าซ่อมได้ไม่ยาก บริษัทประกันก็จะประเมินให้เป็นความเสียหายเพียงบางส่วน (Partial Loss) และจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเล่มกรมธรรม์
เรื่องนี้ต้องรู้
ประกันจะคุ้มครองก็ต่อเมื่อเจ้าของรถประสบเหตุการณ์น้ำท่วมในลักษณะของเหตุสุดวิสัยเท่านั้น เช่น บ้านถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ น้ำท่วมฉับพลัน ทำให้เคลื่อนย้ายรถไม่ทัน เป็นต้น หากตรวจสอบภายหลังแล้วพบว่าเกิดจากความประมาทที่เจ้าของรถฝืนขับรถเข้าเขตน้ำท่วมด้วยตัวเอง อาจโดนปฏิเสธความคุ้มครองได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรมีคือหลักฐาน ณ จุดเกิดเหตุ อย่างรูปถ่าย บันทึกเหตุการณ์ และประกาศจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อใช้ประกอบการแจ้งเคลม
ประกันภัยแบบไหน ที่คุ้มครองได้?
แผนประกันภัยรถยนต์เรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของประเด็นน้ำท่วมมิดคันรถ เพราะไม่ใช่ทุกแผนที่จะคุ้มครองเหตุการณ์นี้เหมือนกัน หากศึกษาไม่ดีแล้วเลือกซื้อประกันผิด ชีวิตและเงินในบัญชีอาจถึงขั้นวิกฤติไปเลยก็ได้ โดยแผนประกันรถที่คนกลัวน้ำท่วมควรมี ได้แก่
ประกันภัยชั้น 1 : ประกันภัยที่เบี้ยแพงสุด แต่ให้ความคุ้มครองรอบด้านมากที่สุด คือ
- คุ้มครองชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกันภัย
- คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
- คุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์
ประกันภัยชั้น 2+ : ให้ความคุ้มครองแบบประกันชั้น 2 แต่เพิ่มความรับผิดต่อบางกรณี ดังนี้
- คุ้มครองชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
- คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบก
- คุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
- คุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ รวมถึงน้ำท่วม (บางบริษัทเท่านั้น)
ประกันภัยชั้น 3+ : ให้ความคุ้มครองแบบประกันชั้น 3 แต่เพิ่มความรับผิดต่อบางกรณี ดังนี้
- คุ้มครองชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอกและผู้โดยสารในรถ
- คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
- คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบก
- คุ้มครองความเสียหายในส่วนของภัยธรรมชาติ รวมถึงน้ำท่วม (บางบริษัทเท่านั้น)
จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีประกันรถให้เลือกใช้หลายแพ็กเกจที่เหมาะสมกับงบประมาณของแต่ละคน บางครั้งไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงมาก แต่ก็ได้ตัวช่วยดี ๆ มาคอยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในยามฉุกเฉินแล้ว ลองคิดดูเล่น ๆ ว่า ถ้าน้ำท่วมฉับพลัน และรถที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง (ซึ่งอาจยังผ่อนไม่หมด) ต้องจมอยู่ใต้น้ำแรมสัปดาห์ แล้วไม่มีประกันหรือประกันไม่คุ้มครอง ค่าซ่อมมันจะพุ่งสูงขนาดไหน ดังนั้นมีประกันรถไว้ย่อมดีกว่าแน่นอน ว่าไหมล่ะคะ…