ค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับอะไรไปดู!
ค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับอะไรไปดู!
เรื่องประกันรถยนต์ที่เราจะต้องซื้อหรือต่ออายุประกันในทุกๆปีนั้น หลายคนสงสัยว่าทำอย่างไรเบี้ยจะถูกลง วันนี้ Smile Insure จะมาไขข้อข้องใจปัจจัยที่มีผลต่อค่าเบี้ยให้เองค่ะ
อายุ
อายุเป็นเพียงตัวเลข แต่ส่งผลกับค่าเบี้ยประกันสุดๆค่ะ เพราะหากทำประกันระบุชื่อผู้ขับขี่ก็จะได้รับส่วนลดค่าเบี้ยตามเกณฑ์ที่บริษัทแบ่งอายุได้ดังนี้
- ผู้ที่มีช่วงอายุ 18 - 24 ปี จะได้รับส่วนลด 5%
- ผู้ที่มีช่วงอายุ 25 - 35 ปี จะได้รับส่วนลด 10%
- ผู้ที่มีช่วงอายุ 36 - 50 ปี จะได้รับส่วนลด 15%
- ผู้ที่มีช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป จะได้รับส่วนลด 20%
การกำหนดค่าเสียหายส่วนแรก
หากมั่นใจในทักษะการขับรถของคุณเอง การทำประกันรถยนต์แบบมีเสียค่าเสียหายส่วนแรก หรือที่เรียกกันว่า Deductible เป็นอีกวิธีที่ช่วยทำให้เราประหยัดเงินได้อย่างดี เพราะหากการกำหนดค่าเสียหายส่วนแรกจะทำให้ค่าเบี้ยของคุณลดลงครึ่งต่อครึ่งเลยค่ะ หรือขึ้นอยู่กับการตกลงกันของคุณและบริษัทประกันด้วย
บริเวณที่อยู่อาศัย
สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของผู้ขับขี่นั้นก็สำคัญค่ะ เพราะสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันออกไป บางพื้นที่มีถนนที่ขรุขระ บางพื้นที่เป็นทางเรียบ หรือบางพื้นที่มีอุบัติเหตุเกิดบ่อย ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ซึ่งค่าเบี้ยประกันไม่ได้ส่งผลต่อแค่ในพื้นที่กรุงเทพนะคะ พื้นที่ต่างจังหวัดก็ส่งผลต่อค่าเบี้ยเช่นกัน
ประวัติการเคลม
ข้อนี้สำคัญเลยค่ะ หลักๆแล้วบริษัทประกันจะประเมินค่าเบี้ยจากประวัติการเคลมของคุณ เพราะถ้าภายใน 1 ปีไม่มีการเคลมเลย คุณจะได้ค่าเบี้ยที่ถูกลง แต่หากใน 1 ปีคุณแจ้งเคลมเล็กน้อย เคลมบ่อยค่าเบี้ยก็จะสูงขึ้น
ราคารถยนต์
ในปัจจุบันรถยนต์แต่ละรุ่นหรือยี่ห้อค่อนข้างมีราคาที่หลากหลาย รุ่นรถยนต์ที่เราเลือกจึงมีผลต่อค่าเบี้ยเพราะยิ่งรถแพงทุนประกันสูง ค่าซ่อมหรือค่าเคลมก็จะแพงตามไปด้วย
ศูนย์ซ่อม
การเลือกศูนย์ซ่อมก็มีผลต่อค่าเบี้ย หากเลือกซ่อมศูนย์หรือที่เรียกกันว่าซ่อมห้างนั้นจะมีค่าเบี้ยที่แพงกว่าเพราะการซ่อมห้างจะมีมาตรฐานมากกว่า รวมถึงค่าอะไหล่หรือค่าซ่อมที่แพงขึ้นด้วยจึงส่งผลต่อค่าเบี้ยโดยตรงค่ะ
ประเภทประกัน
ประเภทของประกันเป็นปัจจัยหลักๆที่ส่งผลต่อค่าเบี้ยเลยก็ว่าได้ เพราะประกันแต่ละประเภทจะมีความคุ้มครองที่แตกต่างกัน แต่ขึ้นอยู่กับการใช้งานรถของคุณด้วย จึงทำให้ค่าเบี้ยประกันในแต่ละประเภทไม่เท่ากันนั้นเองค่ะ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันดังนี้ ..
- ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 หรือ ประกันชั้น 1
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นใจเมื่อเกิดอุบัติเหตุเพราะประกันชั้น 1 ให้ความคุ้มครองแบบเต็มรูปแบบ - ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2+ หรือ ประกันชั้น 2+
เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติการขับรถที่ดี ไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน อยากจ่ายเบี้ยประกันที่ถูกลงอีกนิด แต่ก็ยังอยากได้รับความคุ้มครองเทียบเท่ากับประกันรถชั้น 1 เพราะสิ่งที่แตกต่างจากประกันภัยชั้น 1 คือ คุ้มครองในกรณีรถชนรถเท่านั้น - ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 หรือ ประกันชั้น 2
เหมาะกับผู้ที่ต้องการคุ้มครองคู่กรณี หรือกลัวรถไฟไหม้ ถูกขโมย แต่สามารถดูแลรถของตนเองได้ เพราะประกันชั้น 2 ไม่คุ้มครองตัวรถเรา - ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3+ หรือ ประกันชั้น 3+
สำหรับผู้ที่มีประวัติการขับรถที่ดี ไม่มีความเสี่ยงเรื่องรถหายหรือไฟไหม้ ต้องการคุ้มครองคู่กรณี ทั้งชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินและความเสียหายของรถ ทั้งนี้ประกันชั้น 3+ คุ้มครองในกรณีรถชนรถเท่านั้นนะคะ - ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 หรือ ประกันชั้น 3
สำหรับผู้ที่ต้องการคุ้มครองคู่กรณี ทั้งชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินและความเสียหายของรถ
ที่กล่าวมาข้างต้นทุกข้อนั้นล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อค่าเบี้ยประกัน จึงทำให้เบี้ยประกันของรถยนต์แต่ละคันไม่เท่ากัน หากต้องการสอบถามค่าเบี้ยประกันหรือสนใจประกันดี ๆ นึกถึง Smile Insure สิคะ เราพร้อมให้คำปรึกษา พร้อมโปรโมชั่นดี ๆ อีกเพียบบ